fbpx

EVERYWHERE B Collection

EVERYWHERE B UPHOLSTERY COLLECTION
เอฟเวอรี่ แวร์ เล่มรวมผ้าบุเฟอร์นิเจอร์สะท้อนน้ำ

การย้อมผ้า Fabric Dyeing

การย้อมผ้าเป็นกระบวนการให้สีแก่สิ่งทอโดยการจุ่มลงในสารละลายย้อมผ้า กระบวนการย้อมสีสามารถทำได้โดยใช้สีธรรมชาติหรือสีสังเคราะห์ การย้อมสีผ้าในอุตสาหกรรมสิ่งทอมีหลายขั้นตอน แต่โดยรวมแล้วมีขั้นตอนดังนี้

  1. การเตรียม Preparation: ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการเตรียมผ้าสำหรับการย้อม ผ้าจะทำความสะอาดก่อนเพื่อขจัดสิ่งสกปรก น้ำมัน หรือสิ่งเจือปนที่อาจขัดขวางการดูดซึมสีย้อม สามารถทำได้โดยใช้กระบวนการต่างๆ เช่น การซัก การขัด หรือการฟอกสี
  2. การย้อมสี Dyeing: จากนั้นผ้าจะถูกจุ่มลงในสารละลายย้อม และโมเลกุลของสีย้อมจะถูกดูดซับโดยผ้า สารละลายสีย้อมสามารถนำไปใช้กับผ้าได้โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การย้อมแบบจุ่ม ซึ่งผ้าจะจมอยู่ในสารละลายสีย้อมทั้งหมด หรือการพิมพ์ ซึ่งใช้สารละลายสีย้อมในรูปแบบเฉพาะ
  3. การตรึงสี Fixation: หลังจากการย้อม ผ้าจะได้รับการบำบัดด้วยสารตรึงเพื่อให้แน่ใจว่าโมเลกุลของสีย้อมติดอยู่กับเส้นใยผ้าและไม่ล้างออกง่าย กระบวนการนี้เรียกว่า Fixation การตรึงสี และมักจะทำโดยใช้สารเคมี เช่น เกลือ น้ำส้มสายชู หรือเกลือโลหะอื่นๆ
  4. การล้างสี Washing: หลังจากการตรึง ผ้าจะถูกซักเพื่อขจัดสีย้อมหรือสารยึดเกาะส่วนเกินออกจากผ้า สิ่งนี้ทำเพื่อให้แน่ใจว่าสีย้อมจะไม่ตกหรือสีซีดจางเมื่อใช้หรือซักผ้า
  5. การตกแต่งสำเร็จ Finishing: ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการย้อมผ้าเกี่ยวข้องกับการตกแต่งผ้าเพื่อเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ เช่น ความนุ่มนวล ความมันเงา หรือการต้านทานรอยยับ ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้กระบวนการต่างๆ เช่น การทำปฏิทิน ซึ่งผ้าถูกส่งผ่านระหว่างลูกกลิ้งที่ให้ความร้อน หรือการเคลือบโดยที่ชั้นบางๆ ของโพลิเมอร์ถูกนำไปใช้กับพื้นผิวของผ้า

ชนิดของสีย้อม Dyeing Type

Acid Dyeing

กระบวนการย้อมสีที่ใช้กรดเป็นส่วนผสมในการตรึงสีย้อมบนผ้า วิธีนี้มักใช้ในการย้อมผ้าขนสัตว์ ผ้าไหม และเส้นใยโปรตีนอื่นๆ

  • อุณหภูมิในการย้อม 60-80°C
  • Water-Based
  • pH 3-4
  • Process Immersion Dyeing การย้อมแบบแช่

Basic Dyeing

กระบวนการย้อมสีที่ใช้สารละลายพื้นฐานเป็นสารประสมเพื่อตรึงสีย้อมบนผ้า วิธีนี้นิยมใช้ในการย้อมอะคริลิกและใยสังเคราะห์อื่นๆ

  • อุณหภูมิในการย้อม 90-100°C
  • Water-Based
  • pH 9-10
  • Process Exhaustion Dyeing

Disperse Dyeing

กระบวนการย้อมที่ใช้สีดิสเพอร์ส ซึ่งจะกระจายตัวในตัวทำละลายก่อนนำไปใช้กับผ้า วิธีนี้มักใช้สำหรับการย้อมโพลีเอสเตอร์ ไนลอน และใยสังเคราะห์อื่นๆ

  • อุณหภูมิในการย้อม 120-140°C
  • Oil-Based
  • pH 6-7
  • Process High-Temperature Dyeing

Direct Dyeing

กระบวนการย้อมแบบง่ายๆ ที่ย้อมลงบนผ้าโดยตรงโดยไม่ต้องใช้สารยึดเกาะหรือสารยึดเกาะ การย้อมสีโดยตรงเหมาะสำหรับเส้นใยธรรมชาติ เช่น ฝ้าย ไหม และขนสัตว์

  • อุณหภูมิในการย้อม 50-60°C
  • Water-Based
  • pH 6-7
  • Process Immersion Dyeing

Vat Dyeing

กระบวนการย้อมสีที่ใช้ถังเก็บสารละลายสีย้อม ผ้าจะถูกแช่ในสารรีดิวซ์ก่อน ซึ่งจะเปลี่ยนสีย้อมให้อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ จากนั้นนำผ้าไปแช่ในถัง ซึ่งเส้นใยผ้าจะดูดซับสีย้อมไว้ วิธีนี้นิยมใช้ในการย้อมผ้าเดนิม หรือผ้ายีนส์ และผ้าฝ้ายอื่นๆ

  • อุณหภูมิในการย้อม 50-60°C
  • Water-Based
  • pH 10-11
  • Process Reduction Dyeing

Reactive Dyeing

การย้อมด้วยปฏิกิริยา: กระบวนการย้อมที่ใช้สีรีแอกทีฟซึ่งสร้างพันธะโควาเลนต์กับเส้นใยผ้า วิธีนี้นิยมใช้ในการย้อมผ้าฝ้าย ผ้าขนสัตว์ และผ้าไหม

  • อุณหภูมิในการย้อม 20-60°C
  • Water-Based
  • pH 10-12
  • Process Exhaustion Dyeing


บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

#นิทัสผ้าม่านที่ UrBoy TJ เลือกใช้

นิทัสผ้าม่านที่ดาราและอินฟลูเลือกใช้

ขอบคุณ คุณ Urboy TJ ที่เลือกใช้ผ้าม่านคุณภาพ ผ้าม่านนิทัส ทั้งหลัง

#Nitastessile #นิทัสผ้าม่าน #คิดถึงผ้าม่านคิดถึงนิทัส #ม่านกันแสง #Dimout #ม่านทึบแสง #Blackout #มูลี่ไม้

  • ชมคลิป: TJ’S HOUSE EP14 : HOME TOUR พาดูทั้งบ้าน รีวิวทุกห้อง
  • คลิปเต็มได้ที่ https://youtu.be/3fhOtWSLdA8
  • ชมคลิป: Home Tour TJ’S HOUSE EP11 : บุกโชว์รูม ม่านกันโควิดที่เดียวในไทย
  • คลิปเต็มได้ที่  https://www.youtube.com/watch?v=rP2sDqDbU2U

ช่องยูทูป https://www.youtube.com/@UrboyTJChannel

เลือกสีให้เข้ากับห้องต่างๆ

การเลือกสีที่เหมาะสมสำหรับห้องสามารถส่งผลอย่างมากต่อรูปลักษณ์โดยรวมของพื้นที่ หลักเกณฑ์ทั่วไปในการเลือกสีสำหรับห้องต่างๆ มีดังนี้

สีน้ำตาล

Living Room

  • ผ้าม่านสไตล์: Classic, modern, or eclectic style, floor-length curtains
  • สีสันลวดลาย: Beige, white, gray, navy blue, bright or patterned
  • สีผนังห้อง: Neutral tones or complementary colors to balance the room

Bedroom

  • ผ้าม่านสไตล์: Romantic or cozy style, soft and flowing fabrics, floor-length curtains
  • สีสันลวดลาย: Light blue, lavender, blush pink, dark or bold colors
  • สีผนังห้อง: Soft and calming colors or complementary colors to the bedding

Kitchen

  • ผ้าม่านสไตล์: Simple and functional style, light and airy fabrics, cafe curtains or valances
  • สีสันลวดลาย: Bright and cheerful colors like yellow, red, or green
  • สีผนังห้อง: Light and airy colors like white, beige, or light blue

Bathroom

  • ผ้าม่านสไตล์: Subtle patterns or textured fabrics, sheer or semi-sheer white curtains
  • สีสันลวดลาย: Sheer or semi-sheer white, shades of blue or green
  • สีผนังห้อง: Neutral colors or shades of blue or green for a calming atmosphere

Dining Room

  • ผ้าม่านสไตล์: Elegant and formal style, luxurious fabrics like velvet or silk, floor-length curtains with decorative details like tassels or fringes
  • สีสันลวดลาย: Rich and luxurious colors like red, purple, or gold, bold patterns
  • สีผนังห้อง: Neutral tones, warm shades, or complementary colors to the furniture

“น้ำตาล หรือ เทา” จบๆ!!!

ปัญหาโลกแตกอย่างหนึ่งของการเลือกแบบ เลือกสไตล์ เลือกวัสดุ ในการตกแต่งห้องคือไม่รู้จะตกแต่งแบบไหนดี เช่นเดียวกันการเลือกสี ก็เป็นปัญหาที่คิดไม่ตกเหมือนกัน

ฉนั้น วันนี้มีทางเลือกง่ายๆ ของโทนสี ที่คนส่วนใหญ่มักจะเลือกโทนสีในการตกแต่งไปใน 2 ทางคือ โทนน้ำตาล และโทนเทา เพราะทั้งสีน้ำตาล และสีเทา เป็นสีเป็นกลางในการออกแบบตกแต่งภายใน เป็นสีพื้นเข้าได้กับทุกสไตล์การตกแต่งและไร้กาลเวลาสำหรับสไตล์การออกแบบที่หลากหลาย โดยหลักการง่ายๆ ดังนี้

  • ความซับซ้อน: สีโทนน้ำตาลและเทา ให้ความรู้สึกสงบ แต่ในขณะเดียวกันยังสามารถสร้างความรู้สึกซับซ้อน ดูสง่างาม ใช้ร่วมกับวัสดุต่างๆ สร้างบรรยากาศได้หลากหลาย ทั้งความหรูหรา ทันสมัย และดูกลมกลืนกับธรรมชาติ
  • ความยืดหยุ่น: สีโทนน้ำตาลและเทา สามารถจับคู่กับสี ลวดลาย และพื้นผิวอื่นๆ ได้ง่าย เสมือนผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า สามารถแต่งแต็ม เน้นจุดสำคัญ หรือ ทำให้กลมกลืนได้ง่าย สามารถใช้กับโทนสีอบอุ่นหรือโทนเย็นได้ และเข้าได้กับฤดูกาล แม้กระทั้งเทรนด์การตกแต่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยก็ตาม
  • ไร้กาลเวลา: สีโทนน้ำตาลและเทา มีความคลาสสิก และไร้กาลเวลา เข้ากับการออกแบบที่เปลี่ยนแปลงได้ ด้วยการใช้โทนสีที่เป็นกลาง คุณสามารถสร้างการออกแบบที่ไม่เคยตกยุคและให้ความรู้สึกเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
  • ความกลมกลืน: สีโทนน้ำตาลและเทา เมื่อใช้ร่วมกับสีกลางอื่นๆ หรือในเฉดสีต่างๆ สีน้ำตาลและสีเทาสามารถสร้างการออกแบบที่กลมกลืนและเหนียวแน่น สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและสมดุลในพื้นที่
  • พื้นผิว: สีโทนน้ำตาลและเทา เป็นสีที่อยู่ในเนื้อของวัสดุ โดยทั่วไปอยู่แล้ว เช่น ไม้ และโลหะ สามารถเน้นพื้นผิวของวัสดุให้เป็นจุดเด่น หรือเป็นองค์ประกอบโดยรวมได้ สร้างความเป็นมิติ และความน่าสนใจในการออกแบบได้อย่างง่ายๆ

ความหมายในเชิงความรู้สึก และสไตล์การตกแต่ง

สีโทนน้ำตาล

  • ความรู้สึก: Warmth, Comfort, Stability, Earthiness, Naturalness
  • การออกแบบตกแต่ง: Rustic, Vintage, Bohemian, Organic, Traditional
  • สไตล์: Casual, Relaxed, Cozy, Down-To-Earth, Timeless
  • วัสดุ: ไม้จริง และลายไม้ พื้น และวัสดุปิดผิวลายไม้, สิ่งทอ-หนัง, อิฐ, กระเบื้อง แกรนิตโต และกระเบื้องยางลายไม้, สีทาผนัง, โลหะ เช่น ทองเหลือง ทองแดง รวมถึงการทำสี เช่น โรสโกลด์, กระจกเงารมทอง, หินปูพื้นและตกแต่ง เช่น แกรนิต หินอ่อน และของตกแต่งอื่นๆ

สีโทนเทา

  • ความรู้สึก: Neutrality, Calmness, Sophistication, Balance, Professionalism
  • การออกแบบตกแต่ง: Modern, Minimalistic, Industrial, Elegant, Chic
  • สไตล์: Formal, Sophisticated, Refined, Sleek, Timeless
  • วัสดุ: ไม้ทำสี การเผาผิวหน้าไม้ และวัสดุปิดผิวลายไม้, สิ่งทอ-หนัง, สีทาผนัง, กระเบื้อง แกรนิตโต และกระเบื้องยาง, โลหะ เช่น เหล็ก อลูมิเนียม สแตนเลส และการทำสี, กระจกเงารมดำ, ปูนเปลือย-ขัดมัน, หินปูพื้นและตกแต่ง เช่น แกรนิต หินอ่อน และของตกแต่งอื่นๆ

กฏ 80%/20%

กฎ 80/20 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กฎพาเรโต” (Pareto principle) หรือสัดส่วน 80/20 (Law of the vital few) หมายถึง ส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่สำคัญและส่งผลต่อส่วนอื่นๆเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ร่วมกันของทั้งสองโทน โดยให้สัดส่วนของสีที่มากน้อยต่างกัน

จากรูป การตกแต่งเป็นสีน้ำตาล, และมีการใช้สีเทา ในสัดส่วน 50/50

จากรูป การตกแต่งโดยรวมเป็นโทนสีน้ำตาล, เบจ สีน้ำตาลจากวัสดุไม้พื้นน และตกแต่งผนัง และมีการใช้สีเทาเข้ม ที่เป็นผ้าม่าน สีดำของชั้นวางทีวี มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

จากรูป โดยรวมเป็นโทนสีน้ำตาล ครีม เบจและมีการใช้สีเทาของวัสดุหินอ่อน มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

จากรูป โดยรวมการตกแต่งเป็นสีโทนเทา และมีการใช้สีน้ำตาล ด้วยตัวเนื้อวัสดุอย่างโต๊ะไม้มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

จากรูป โดยรวมการตกแต่งเป็นสีโทนเทา, ขาว และมีการใช้สีน้ำตาล ด้วยตัวเนื้อวัสดุอย่างพื้นไม้มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

การเพิ่มสีธรรมชาติอย่างสีเขียวของต้นไม้, ใบไม้ เป็นสีที่ 3 ช่วยพื่อให้เกิดความน่าสนใจ และยังสร้างความมีชีวิจชีวา ให้กับการตกแต่งอีกด้วย

เช่นเดียวกันเราสามารถเพิ่มสีที่ตัดกันเข้าไปใช่สัดส่วน 80/20 ซึ่งจะสามารถสร้างความน่าสนใจได้อย่างมาก

จากรูป เราสามารถเพิ่มสีที่ 3 ลงไป เพื่อสร้างความนี้สนใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสัดส่วน 70/20/10


หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้ แนวไอเดียนำไปใช้ในการตกแต่งห้อง กับโทนสีน้ำตาล และสีเทาแนะนำเป็นตัวอย่างนะครับ ^ ^

บทความโดย: ทายาท เตชะสุวรรณ์ นักออกแบบ

#นิทัสผ้าม่านที่ PIGLET เลือกใช้

นิทัสผ้าม่านที่ดาราและอินฟลูเลือกใช้

ขอบคุณ คุณพิกเล็ท คุณเนย คุณแจม เนโกะจัมพ์ ที่เลือกใช้ผ้าม่านคุณภาพ ผ้าม่านนิทัส ทั้งหลัง

#Nitastessile #นิทัสผ้าม่าน #คิดถึงผ้าม่านคิดถึงนิทัส #ม่านกันแสง #Dimout #ม่านทึบแสง #มูลี่ไม้ #WoodenBlind 

รับชมคลิป: Home Tour บ้านเสร็จแล้ว~ ถ่ายรูปได้ทุกมุม บ้านแห่งการคุมโทน!! 🎄

หน้าม่วงหน้าเขียว ความลับคือค่า Color Rendering Index (CRI)

เคยเป็นไหมเวลาเราส่องกระจก หรือถ่ายรูปตัวเราเอง ถ่ายรูปสิ่งของที่เราอยากโชว์ลงสื่อโซเชียว แต่รูปที่ได้มากลายสีเพี้ยนๆ เป็นสีอมม่วง อมเชียว ทั้งๆที่เราก็ใส่มือถือรุ่นใหม่แบรนด์ดัง หรือเรารู้สึกว่า ทำไมเสื้อผ้าที่เราซื้อกลับมาลองใส่อีกครั้งที่บ้าน ไม่สวยสดใส เหมือนกับลองที่ร้าน หรือผัก-ผลไม้ในซุปเปอร์มาเก็ตเจ้าใหญ่ๆ ทำไมมันสีสวยน่าทานมากกว่าร้านขายผลไม้ ติดไฟ LED ทรงใบพัดตามข้างทาง ทั้งๆ ที่ ความสว่าง และอุณหภูมิแสง เดย์ไลท์/วอร์มไวท์ (แสงขาว/แสงเหลือง) ก็เหมือนๆ กัน ค่า CRI (Color Rendering Index) คือคำตอบนั้นเอง ค่า CRI ค่าความถูกต้องของสี เป็นค่าชี้วัดว่าแหล่งกำเนิดแสงส่องสว่างสีของวัตถุได้แม่นยำเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งกำเนิดแสงตามธรรมชาติหรือ แสงแดด

CRI วัดจากระดับ 0 ถึง 100 โดยคะแนนยิ่งสูงแสดงว่าแสดงสีได้ดีขึ้น คะแนน CRI 100 แสดงถึงการแสดงสีที่สมบูรณ์แบบ หมายความว่าสีของวัตถุได้รับการส่องสว่างอย่างแม่นยำและไม่ผิดเพี้ยน

CRI มีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ความถูกต้องของสีเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ในหอศิลป์ สตูดิโอถ่ายภาพ และโชว์รูม หรือร้านขายสินค้า หรืออุตสาหกรรม ที่ต้องการความถูกต้องของสีสูงๆ เช่น การเทียบสีของ สิ่งทอ หรือ การเปรียบสีของรอบการผลิตที่ต่างกัน เป็นต้น

CRI ต่ำ (ค่าความถูกต้องสี) สามารถทำให้วัตถุดูหม่นหมอง ซีดจาง หรือมีสีผิดเพี้ยนได้ เนื่องจากแหล่งกำเนิดแสงที่มีค่า CRI ต่ำไม่สามารถแสดงสีของวัตถุที่ส่องสว่างได้อย่างถูกต้อง

เมื่อแสงตกกระทบวัตถุ สีบางสีในสเปกตรัมจะถูกดูดกลืนโดยวัตถุ ในขณะที่สีอื่นจะสะท้อนกลับ แหล่งกำเนิดแสง CRI สูงจะสร้างสเปกตรัมของสีที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทำให้สามารถแสดงสีที่แท้จริงของวัตถุได้อย่างถูกต้อง ในทางกลับกัน แหล่งกำเนิดแสง CRI ต่ำจะสร้างสเปกตรัมของสีที่จำกัด ส่งผลให้การสร้างสีไม่แม่นยำ เช่น การจับคู่สีสิ่งทอแหล่งกำเนิดแสง CRI ต่ำอาจทำให้แยกแยะความแตกต่างระหว่างเฉดสีที่คล้ายกันหรือตรวจจับความแตกต่างเล็กน้อยของสีได้ยาก ในร้านค้าปลีกหรือพิพิธภัณฑ์ แหล่งกำเนิดแสงที่มีค่า CRI ต่ำอาจทำให้สินค้าหรือการจัดแสดงดูน่าสนใจน้อยลง

ดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว หลอดไฟ CRI สูงจึงเป็นที่นิยมสำหรับการใช้งานที่เน้นสี เช่น การจับคู่สี การถ่ายภาพ โชว์รูมสินค้าแฟชั่น โชว์รูมสินค้าตกแต่งบ้าน

ตัวอย่างบรรจุภัณฑ์หลอดไฟยี่ห้อต่างๆ ที่ ระบุค่า CRI

ฉนั้นคั้งต่อไปในการเลือกซื้อหลอดไฟ นอกจาก กำลังไฟ เรื่องความสว่าง อุณหภูมิแสแล้ว เราควรสังเกตุค่า CRI ความถูกต้องของสี รวมด้วย แม้กระทั่งในบ้านของเรา เช่นห้องน้ำ ห้องแต่งตัว แสงสว่างที่กระจกแต่งหน้า หรือห้องรับแขก โดยทั่วไป ค่า CRI เท่ากับ หรือ มากกว่า 80 ขึ้นไป ถือเป็นค่าที่เหมาะสมสำหรับหลอดไฟที่ใช้ทั่วไปภายในบ้าน ซึ่งรับรองว่าคุณจะรู้สึกว่า บ้านของคุณดูมีชีวิตชีวา ขึ้นมาอีกครั้งเลยที่เดียว ในทางกลับกันหลอดไฟที่ค่า CRI ต่ำ มักจะมีราคาถูก และไม่เขียนค่าดังกล่าวโชว์ไว้ที่หน้าบรรจุภัณฑ์


ตู้วิเศษจงบอกข้าเถิด ผ้าตัวไหนสีเพี้ยน

Color Matching Cabinets

ไม่ต้องมนต์วิเศษใดๆ เราก็สามารถรู้ได้ว่าสีเพี้ยนหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับต้นฉบับ ตู้นี้ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมสิ่งทอด้วยเช่นกัน

Color Matching Cabinets หรือ ตู้เทียบสี เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการประเมินสีในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย เช่น สิ่งทอ การพิมพ์ ยานยนต์ หรือจะกล่าวได้ว่าทุกวงการ ที่จำเป็นต้องงมีการเปรียบเทียบกับสีเดิมที่เป็นต้นฉบับ หรือสีตัวอย่างที่ต้องการ โดยมีการออกแบบมาให้สภาพแสงมาตรฐาน โดยจำลองสภาพแวดล้อมของแสงที่แตกต่างกัน เช่น แสงกลางวัน และแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ เพื่อใช้เปรียบเทียบสีสภาพแสงต่างๆ โดยผู้เชี่ยวชาญนั้นเอง

ตู้จับคู่สีเครื่องแรกได้รับการพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1920 โดยบริษัท Munsell Color สำหรับการจับคู่สีในอุตสาหกรรมการพิมพ์ ตั้งแต่นั้นมา ตู้เทียบสีก็ได้รับการพัฒนา และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มเทคโนโลยีไฟแบบใหม่ LED เข้าไปด้วย และแสงที่ถือว่าเป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบสีหลักๆ คือแสงจากหลอด D65 หรือแสงที่มีอุณหภูมิสี 6500K ซึ่งเป็นอุณหภูมิแสงที่ใกล้เคียงแสงแดดที่สุด (โซนยุโรป อเมริกา) กำหนดโดย International Commission on Illumination (CIE) ในปี 1964

ปัจจุบัน ตู้จับคู่สีมีการกำหนดค่าที่หลากหลายและมีแหล่งกำเนิดแสงหลายแหล่งสำหรับการจำลองสภาพแสงที่แตกต่างกัน ตู้บางตู้ยังใช้ไฟฟลูออเรสเซนต์ ในขณะที่ตู้อื่นๆ ใช้ไฟ LED เพื่อประหยัดพลังงาน และค่าความถูกต้องสีสูง (CRI) สามารถรวมแสงหลายประเภทไว้ในตู้เดียว ช่วยให้สลับระหว่างแหล่งกำเนิดแสงต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบและวิเคราะห์ได้ง่าย โดยรวมแล้ว ตู้เทียบสีเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการประเมินและจับคู่สีที่แม่นยำในอุตสาหกรรมต่างๆ

จากรูป เป็นการเปรีบเทียบสี จะเห็นว่ารูปด้านซ้าย ไม่เห็นความแตกต่างของสี เมื่ออยู่ใน แสงจากหลอดไฟ เดย์ไวท์ อุณหภูมสี 5000K (แสงขาว) แต่เมื่อเทียบกับรูปทางขวา ซึ่งจะเห็นสีไม่เท่ากันไปอยู่ในแสงทางด้านขวา ที่เป็นแสงวอร์มไวท์ อุณหภูมสี 2700K (แสงเหลือง)

หลอดไฟชนิดต่างๆ ในตู้เทียบสี

แหล่งกำเนิดแสงหลายแหล่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของตู้จับคู่สี เนื่องจากช่วยให้สามารถจำลองสภาพแสงประเภทต่างๆ เพื่อประเมินความถูกต้องของสีภายใต้สถานการณ์ต่างๆ แหล่งกำเนิดแสงต่างๆ ที่ใช้ในตู้เทียบสีมักจะมีอุณหภูมิสี และค่าความถูกต้องสี (CRI) ที่แตกต่างกัน เพื่อจำลองประเภทของแสงกลางแดดและสภาพแสงอื่นๆ ได้แก่

  • D65 (Daylight 6500K): แหล่งกำเนิดแสงที่จำลองแทนแสงแดดตอนกลางวัน (โซนยุโรป, อเมริกา) ที่มีอุณหภูมิสี 6500K และ CRI 95 ใช้อ้างอิงสำหรับการประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นหลัก
  • D50 (Daylight 5000K): แหล่งกำเนิดแสงที่จำลองแทนแสงแดดตอนกลางวัน (โซนเอเชีย) ที่มีอุณหภูมิสี 5000K และ CRI 98 ใช้อ้างอิงสำหรับการประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมต่างๆ เปรียบกับสลับกับ D65 ไปมา โดยเฉพาะงานปรู๊ฟสี และงานภาพถ่าย
  • U30 (30 Phosphor Luminescence): แหล่งกำเนิดแสงที่มีอุณหภูมิสี 3000K และ CRI 82 มักใช้เพื่อประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมพลาสติก และสิ่งทอ
  • TL84 (Tubular Luminescence 840): หลอดฟลูออเรสเซนต์สีขาวนวลที่มีอุณหภูมิสี 4000K และ CRI 85 มักใช้เพื่อประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องหนัง และพลาสติก
  • CWF (Cool White Fluorescent): หลอดฟลูออเรสเซนต์สีขาวนวลที่มีอุณหภูมิสี 4150K และ CRI 62 มักใช้เพื่อประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมการพิมพ์
  • F (Fluorescent): หลอดฟลูออเรสเซนต์ที่มีอุณหภูมิสี 2700K และ CRI 50 มักใช้เพื่อประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมยานยนต์
  • A (Incandescent): หลอดไส้ที่มีอุณหภูมิสีประมาณ 2856K และค่า CRI 100 เป็นแหล่งกำเนิดแสงมาตรฐานแห่งแรกสำหรับการประเมินสี และยังคงใช้ในบางอุตสาหกรรมในปัจจุบันเพื่อประเมินความถูกต้องของสีภายใต้สภาพแสงจากหลอดไส้
  • UV (Ultraviolet): แหล่งกำเนิดแสงหลอด UV เพื่อประเมินความคงทนของสีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และพลาสติก รวมถึงผลกระทบของแสง UV ต่อรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์เมื่อเวลาผ่านไป แหล่งกำเนิดแสง UV ในตู้เทียบสีมักจะปล่อยแสง UV ในช่วง 320-400 นาโนเมตร ซึ่งคล้ายกับแสง UV ที่พบในแสงแดดธรรมชาติ

รูปตัวอย่างแหล่งกำเนิดแสง (หลอดไฟ) ชนิดต่างๆ ซึ่งในบริเวญปลายหลอด ก็มักจะมีการเขียนกำกับไว้ว่าเป็นหลอดชนิดใด


การใช้แหล่งกำเนิดแสงหลายแหล่งในตู้จับคู่สีช่วยให้สามารถประเมินความถูกต้องของสีภายใต้สภาพแสงที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ถึงความแม่นยำของสีที่สม่ำเสมอในผลิตภัณฑ์และการใช้งานต่างๆ


#นิทัสผ้าม่านที่ MayyR เลือกใช้

นิทัสผ้าม่านที่ดาราและอินฟลูเลือกใช้

ขอบคุณ คุณ Mayy R ที่เลือกใช้ผ้าม่านคุณภาพ ผ้าม่านนิทัส ทั้งหลัง #Nitastessile #นิทัสผ้าม่าน #คิดถึงผ้าม่านคิดถึงนิทัส #ม่านกันแสง #Dimout #ม่านทึบแสง #มูลี่ไม้ #WoodenBlind 

ชมคลิป: Home Tour เปิดบ้าน รีวิวเจาะลึก เล่าทุกเรื่อง บอกทุกปัญหา! EP.1 | MayyR

มาสร้างโรงหนังในบ้านด้วยผ้าม่านกัน

นอกจากผ้าม่านที่ปกติแล้วเราจะใช้เพื่อการกันแสง กันความร้อนจากแสงแดดแล้ว หรือกันการมองเห็น หรือกระทั่งเสริมบรรยากาศของห้องแล้ว ผ้าม่านยังสามารถกันเสียง( ดูดซับเสียง) ได้อีกด้วยนะ แล้วเราสามารถนำผ้าม่านไปใช้กับห้องไหน ได้บางไปดูกันเลย

ใช้ผ้าม่านกับห้องซ้อมดนตรี

ใช้ผ้าม่านสามารถกันเสียงในห้องซ้อมดนตรีได้ดีแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความหนาและความหนาแน่นของผ้าม่าน ประเภทของผ้า ขนาดและรูปร่างของห้อง และความดังของเสียงที่เกิดขึ้น .

โดยทั่วไปแล้ว ผ้าม่านเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถเก็บเสียงได้ดีพอสำหรับห้องซ้อมดนตรี อย่างไรก็ตาม ผ้าม่านสามารถช่วยดูดซับ และกระจายคลื่นเสียง และสามรถดเสียงสะท้อน เพื่อให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการกันเสัยงในห้องซ้อมดนตรี จำเป็นต้องใช้วัสดุเสริมร่วมกัน เช่น แผงอะคูสติก โฟมเก็บเสียง และฉนวนกันเสียง สิ่งสำคัญคือต้องอุดช่องว่างต่างๆ ในผนัง เพดาน และพื้นเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงรั่วเข้าหรือออกให้หมดด้วย


ใช้ผ้าม่านกับห้องโฮมเธียมเตอร์

ผ้าม่านเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการลดเสียงสะท้อนและเสียงก้องในห้องโฮมเธียเตอร์ เนื่องจากช่วยดูดซับคลื่นเสียงและป้องกันไม่ให้สะท้อนออกจากพื้นผิวที่แข็ง เมื่อใช้ร่วมกับวัสดุดูดซับเสียงอื่นๆ เช่น แผงอะคูสติก หรือแผ่นโฟม ผ้าม่านเป็นวิธีแบบง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเสียงของห้องโฮมเธียเตอร์ของคุณ

ผ้าม่านสำหรับห้องโฮมเธียเตอร์ ควรเลือกผ้าที่มีการทอแน่น หนา และฟู เพื่อช่วยดูดซับเสียงได้ดีกว่าผ้าที่บางและน้ำหนักเบา เช่น ผ้าม่านกำมะหยี่ Velvet และ ผ้าที่ทอจากด้านขน หรือ Chenille ซึ่งด้วยคุณลักษณะของตัวเนื้อผ้าเองที่มีความหนา กว่าผ้าชนิดอื่นๆ และยังมีขนเล็กๆ เรียนตัวกันอย่างหนาแน่น รวมทั้งการตัดเย็บเข้าเป็นลอนๆ จากที่กล่าวมาด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ผ้ากำมะหยี่จึงสามารถช่วยลดการสะท้อนของเสียงได้ดี เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดมักจะแขวนปิดอีกชั้นในส่วนของผนังผนังที่เรียบๆ ทั้งหมด รวมถึงหน้าต่าง แม้แต่หน้าประตูเข้าออก เพื่อช่วยดูดซับคลื่นเสียง และลดเสียงสะท้อน แม้ว่าผ้าม่านเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถป้องกันเสียงได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากเท่ากับการกรุผนังซับเสียงใหม่ ประหยัดค่าใช้จ่าย มีประสิทธิภาพในการสร้างประสบการณ์การดูหนัง ฟังเพลงให้มีอรรถรส และสนุกสนานยิ่งขึ้น

  1. Reflection (การสะท้อน): เมื่อเสียงชนกับพื้นผิวหรือวัตถุต่างๆ บางส่วนของเสียงจะสะท้อนกลับมาเป็นคลื่นเสียงและเกิดเป็นเสียงสะท้อน โดยการสะท้อนจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสะท้อนของวัตถุและมุมเข้าชนของเสียง
  2. Absorption (การดูดซับ): เมื่อเสียงชนกับวัตถุบางส่วนของเสียงจะถูกดูดซับเข้าไปบางส่วน และสะท้อนออกมาบางส่วน การดูดซับเสียงจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการดูดซึมของวัตถุและความถี่ของเสียง
  3. Diffusion (การกระจาย): คือการกระจายเสียงโดยที่เสียงไม่ไปตรงเป้าหมาย แต่กระจายไปทั่วทั้งห้องหรือพื้นที่ โดยการกระจายจะเกิดจากการใช้วัตถุหรือผิวที่ไม่เป็นระเบียบหรือไม่มีลักษณะการสะท้อนหรือดูดซึมเสียง

อ่านเรื่อง ผ้าม่านกำมะหยี่ Velvet เพิ่มเติม