fbpx

ได้คืบจะเอาศอก มันยาวแค่ไหน? หน่วยวัดความยาวแบบไทยๆ

หน่วยวัดความยาวแบบไทยโบราณ เช่น นิ้ว คืบ ศอก วา เส้น โยชน์ อ้างอิงจากส่วนของร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นวิธีการวัดที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ หน่วยวัดเหล่านี้มีความยืดหยุ่น เนื่องจากขนาดร่างกายของแต่ละคนไม่เท่ากัน ทำให้ค่าที่ได้อาจแตกต่างกันบ้างในทางปฏิบัติ

ปัจจุบันประเทศไทยใช้ระบบเมตริก (เมตร, เซนติเมตร) แทนหน่วยวัดแบบโบราณแล้ว แต่หน่วยเหล่านี้ยังคงถูกใช้ในบางบริบททางวัฒนธรรมหรือประเพณี

นิ้ว อักษรย่อว่า นิ. (Fingerbreadth) ประมาณ 2.083 ซม.

  • อ้างอิงจาก: ความกว้างของนิ้วมือ (นิ้วโป้ง)
  • วิธีการวัด: วัดความกว้างของนิ้วโป้งที่ฐานนิ้ว (ส่วนที่กว้างที่สุด)
  • ค่าประมาณ: 1 นิ้ว ≈ 2.083 เซนติเมตร

ปัจจุบัน หน่วย นิ้ว ได้รับการกำหนดมาตรฐานให้เท่ากับ 2.54 เซนติเมตร (หรือ 0.0254 เมตร) ซึ่งตรงกับมาตรฐานสากลของ inch ในระบบอิมพีเรียล

คืบ อักษรย่อว่า ค. (Span) เท่ากับ 12 นิ้ว หรือประมาณ 25 ซม.

  • อ้างอิงจาก: ระยะห่างระหว่างปลายนิ้วโป้งกับปลายนิ้วก้อย เมื่อกางมือออกให้สุด
  • วิธีการวัด: กางมือออกให้สุด แล้ววัดระยะจากปลายนิ้วโป้งถึงปลายนิ้วก้อย
  • ค่าประมาณ: 1 คืบ = 12 นิ้ว ≈ 25 เซนติเมตร

ศอก อักษรย่อว่า ศ. (Cubit)  เท่ากับ 2 คืบ หรือประมาณ 50 ซม.

  • อ้างอิงจาก: ระยะห่างจากปลายนิ้วกลางถึงข้อศอก
  • วิธีการวัด: วัดจากข้อศอกถึงปลายนิ้วกลางที่เหยียดตรง
  • ค่าประมาณ: 1 ศอก = 2 คืบ ≈ 50 เซนติเมตร

วา อักษรย่อว่า ว. (Fathom) เท่ากับ 4 ศอก หรือประมาณ 2 เมตร

  • อ้างอิงจาก: ระยะห่างระหว่างปลายมือทั้งสองข้างเมื่อกางแขนออก
  • วิธีการวัด: กางแขนทั้งสองข้างออกให้สุด แล้ววัดระยะจากปลายมือข้างหนึ่งถึงปลายมืออีกข้างหนึ่ง
  • ค่าประมาณ: 1 วา = 4 ศอก ≈ 2 เมตร

เส้น อักษรย่อว่า สน. (Sen ใช้คำทับศัพท์ หรือ Thai Line ในบางกรณี) เท่ากับ 20 วา หรือประมาณ 40 เมตร

  • อ้างอิงและวิธีการวัด: ไม่ได้อ้างอิงจากร่างกายโดยตรง แต่คำนวณจากหน่วยวา
  • ค่าประมาณ: 20 วา หรือประมาณ 40 เมตร

โยชน์ อักษรย่อว่า  ย. (Yojana คำทับศัพท์จากสันสกฤต หรือ Thai League ในบางกรณี) เท่ากับ 400 เส้น หรือประมาณ 16 กิโลเมตร

  • อ้างอิงและวิธีการวัด: ไม่ได้อ้างอิงจากร่างกายโดยตรง แต่คำนวณจากหน่วยเส้น
  • ค่าประมาณ:: 400 เส้น หรือประมาณ 16 กิโลเมตร

ตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ 
จึงกำหนดโดยเทียบกับระบบหน่วยเมตริก (Metric Unit)

ตาม พระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พระพุทธศักราช 2466 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2466 ประเทศไทยได้กำหนดให้ใช้ระบบเมตริก (Metric System) เป็นมาตรฐานในการวัดแทนระบบวัดแบบไทยโบราณ เพื่อให้สอดคล้องกับระบบสากล และเพื่อให้ระบบการวัดของประเทศไทยเป็นมาตรฐานเดียวกัน และสอดคล้องกับระบบสากล และลดความสับสนในการค้าขายและการแลกเปลี่ยนสินค้า อำนวยความสะดวกในการติดต่อกับต่างประเทศ โดยพระราชบัญญัตินี้ได้กำหนดการเทียบค่าระหว่างหน่วยวัดแบบไทยโบราณกับระบบเมตริกไว้อย่างชัดเจน ดังนี้:

หน่วยวัดความยาว

  • 1 นิ้ว (องคุลี) เท่ากับ 2.083 เซนติเมตร
  • 1 คืบ เท่ากับ 0.25 เมตร (25 เซนติเมตร)
  • 1 ศอก เท่ากับ 0.5 เมตร (50 เซนติเมตร)
  • 1 วา เท่ากับ 2 เมตร
  • 1 เส้น เท่ากับ 40 เมตร
  • 1โยชน์ เท่ากับ 16 กิโลเมตร (400 เส้น)

หน่วยวัดพื้นที่

  • งาน = 400 ตารางเมตร (พื้นที่ 1 เส้น × 1 เส้น)
  • ไร่ = 1,600 ตารางเมตร (4 งาน)

หน่วยวัดปริมาตร (ตวง)

  • ทะนาน = 1 ลิตร
  • ถัง = 20 ลิตร

หน่วยวัดน้ำหนัก (ชั่ง)

  • ชั่ง = 1.2 กิโลกรัม
  • ตำลึง = 60 กรัม
  • บาท = 15 กรัม
  • สลึง = 3.75 กรัม

แม้ว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนมาใช้ระบบเมตริกเป็นหลัก แต่หน่วยวัดแบบไทยโบราณยังคงถูกใช้ในบางบริบท เช่น ในงานศิลปะ งานหัตถกรรม หรือในประเพณีวัฒนธรรมต่าง ๆ แต่ในทางการค้าและการศึกษาจะใช้ระบบเมตริกเป็นหลักตามที่กฎหมายกำหนดไว้.


ISTANBUL F Collection

Cruises: Outdoor Fabrics Collection


SLUMBER F Collection

 

SLUMBER Collection
แผ่นพับรวมผ้ากันแสง 100%


ม่านเปิดทางเดียวหรือม่านแยกกลางดี

แบบไหนที่นิทัสเราแนะนำ ไปดูกันเลย


A หน้าต่าง บานฟิกซ์


B หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 1 บานสไลด์ 1


C หน้าต่างหรือประตู บานสไลด์ 2


D หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 2 บานสไลด์ 1


E หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 1 บานสไลด์ 2


F หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 2 บานสไลด์ 2


Repeat คืออะไร และวัดยังไง

ว่าด้วยการออกแบบลวดลายนั้น โดยปกติ จะมีการออกแบบลวดลายอยู่ 2 ประเภท คือ

  1. ลวยลายแบบไม่ต่อลาย (Individual Design) คือจะเป็นลวดลายที่สร้างสรรค์ขึ้นมาแบบเดี่ยวๆ แยกกัน หรือเป็นกลุ่มลายที่ไม่ต่อเนื่องกัน เมื่อนำมาต่อกันก็จะเป็นลักษณะ เป็นกลุ่มๆ ที่ซ้ำกันเหมือนเราปูกระเบื้องที่ลวดลายไม่ต่อเนื้องกัน

2. ลายแบบต่อเนื่องกัน (Repeat Pattern Design) เป็นลวดลายที่ออกแบบโดยเฉพาะให้มีความต่อเนื่อง เมื่อเรานำลายมาชนต่อกันแล้ว ทั้งซ้าย-ขวา, บน-ล่าง ลวดลายนั้นก็จะต่อเนื้องสม่ำเสมอกันทั้งหมด

ตัวอย่างลาย 1 Repeat
ที่อย่าลายที่ออกแบบมาให้ต่อเนื่องกัน

การสังเกตุ และวัดระยะของลายผ้า Repeat ทำได้อย่างไร? จริงๆ เป็นสิ่งที่ง่ายมากๆ โดยเราจะหาจุดสังเกตุจุดใดก็ได้ของลายผ้าที่เด่นชัด เช่นตามตัวอย่างรูปด้านล่าง เราจะเอาปลายก้านของช่อดอกนั้นเป็นตำแหน่งหลักในการวัดระยะ

สังเกตุจากจุดหลักตั้งต้น และมองหาจุดที่ลายผ้านั้นซ้ำกัน มองไปทิศทางซ้ายไปขวา คือค่าความกว้าง (Width) และในส่วนของแนวตั้ง (Height) จากจุดที่ลายผ้าซ้ำกัน เราก็จะได้ขนาดของ Repeat ผ้านั่นเอง


ความสำคัณของ Repeat คือ ในการตัดเย็บผ้าม่าน หรือผ้าบุโซฟาตัวใหญ่ ที่ต้องมีการต่อลายให้ลวดลายต่อเนื่องกัน ฉะนั้น การรู้ตัวเลขของระยะซ้ำของลายผ้านั้นก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะต้องใช้ในการคำนวนผ้าเพื่อให้ระยะการต่อลวดลายลงตัว

รูปตัวอย่าง การต่อผ้าของผ้าม่าน

ในกรณีผ้าม่านที่ไม่มีลวดลายหรือเป็นเพียงเท็กเจอร์เล็กๆ ในลายผ้านั้น ก็จะไม่มีปัญหาในลายผ้าแต่อย่างใด เพราะลายนั้นมันเล็กเกินกว่าจะสังเกตุได้ว่าไม่ต่อเนื่องกัน

ตัวอย่างลวดลายผ้าเมื่อกางออกมาจากม้วนผ้า
ตัวอย่างการต่อลายผ้าโดยไม่ได้คำนวนเผื่อระยะ Repeat ตะเข็บรอยต่อลวดลายจะไม่ต่อเนื่องกัน
ตัวอย่างการต่อลายผ้าโดยรู้ระยะของ Repeat ผ้า ตะเข็บรอยต่อลวดลายจะต่อเนื่องกันสวยงาม

ดรอปฝ้าซ่อนราง และกล่องบังราง ต้องเว้นระยะเท่าไหร่

หลายคนที่เคยแต่งบ้าน แล้วสังเกตุการติดตั้งม่าน แล้วทำไมรู้สึกว่า บ้านตัวอย่าง หรือบ้านเพื่อนที่เราไปเที่ยวหา ทำไมผ้าม่านนั้นดูสวยลงตัว เป็นส่วนหนึ่งของบ้านได้ดี สิ่งที่สำคัญคือ การดรอปฝ้า  (Drop Ceiling) ซ่อนรางม่านและหัวม่านยังไงละ แต่สำหรับบางบ้านที่ไม่ได้วางแผนกับการดรอปฝ้าไว้ตั้งแต่แรก หรือไม่อยากรื้อให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็มีวิธีการแก้ไขโดยการ เสริมกล่องบังราง (Curtain Cornice, Pelmet) แล้วทั้งสองอย่างนี้ เค้าเว้นระยะกันเท่าไหร่ ไปดูกันเลย

ตัวอย่างห้องที่มีการออกแบบในการดรอปฝ้า

สำหรับลูกค้าบ้าน ถ้าต้องการดรอปฝ้า ควรปรึกษาเรื่องแบบบ้าน ตั้งแต่แรกก่อนสร้างบ้าน เพราะต้องกำหนดระยะความสูงจากพื้นถึงฝ้าตั้งแต่แรก เพราะถ้าไม่ได้กำหนดไว้ ในการปรับปรุงตกแต่งที่หลังอาจส่งผลให้ระดับฝ้าจะต่ำกว่าปกติ ทำให้รู้สึกอึดอัด งานส่วนนี้ ต้องปรึกษา และทำด้วยผู้รับเหมาตกแต่งบ้านที่เชี่ยวชาญ ร้านม่านโดยทั่วไปมักทำในส่วนนี้ไม่ได้ นะครับ


ตัวอย่างการแก้ปัญหาด้วยการเสริมกล่องม่านบังราง

สำหรับงานเสริมกล่องบังรางนั้น เป็นงานเสริม เพิ่มความสวยงานโดยไม่ได้ไปยุ่งกับระดับของตัวฝ้าเพดานเดิม สามารถบอกทางร้านม่านเลยตั้งแต่แรกว่าต้องการทำสิ่งนี้ด้วย เพื่อง่ายต่อการคำนวนและเข้าวัดพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง และงานส่วนนี้ร้านม่านทั่วไปสามารถทำได้


โดยทั่วไปแล้วการตัดเย็บผ้าม่านสำหรับรางสไลด์ มักตัดเย็บกันในสองรูปแบบ 1. แบบคลาสสิกคือ ม่านสามจีบ 2. แบบโมเดิร์น คือแบบลอน S ซึ่งรูปแบบการตัดเย็บทั้งสองแบบมีผลกับการเว้นระยะห่างอย่างยิ่ง เพราะม่านสามจีบมีการเก็บช่วงลอนของม่านเป็นในรูปแบบจีบแล้ว ซึ่งจะทำให้กินระยะน้อยว่าม่านลอน S ที่มีช่วงลอนโค้งกินไปทางหน้าและหลังที่เท่าๆ กัน

แล้วการเว้นระยะห่างจากผนังถึงขอบของฝ้าเป็นระยะเท่าไหร่ หรือการเสริมกล่องม่านต้องเว้นเท่าไหร่ ก็ไปดูกันเลย

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ช่วยให้หลายท่านวางแผนในการออกแบบตกแต่งภายใน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผ้าม่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ


คราฟต์ (Craft) นะครับ

งานคราฟต์ Craft โดยปกติแล้ว งานคราฟต์คือเป็นงานที่ใช้ฝีมือ มือมนุษย์ในการทำการผลิตชิ้นงานนั้นๆ ขึ้นมาโดยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและยากที่จะเรียนแบบด้วยระบบการผลิตแบบอุตสาหกรรม สำหรับเรื่องเกี่ยวกับผ้าแล้วงานคราฟต์ในวงการผ้า ไม่ว่าจะเป็นการทอผ้าโดยการใช้เทคนิคพิเศษ (Hand Weave) ในแต่ละท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการ มัดหมี่ ขิด จก ล้วง และก็ยังมีการคราฟต์อีกรูปแบบหนึ่งที่รูปแบบการทออาจไม่พิเศษมากนัก แต่จะเน้นที่เส้นด้ายที่มีความพิเศษ แสดงถึงความเป็นฝีมือคนทำ คือการไม่สมบูรณ์แบบ เส้นด้ายที่ออกมาจะมีความเป็นสลาฟ มีความไม่เท่ากัน เล็กใหญ่ ความไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นมนต์เสน่ห์สำคัญ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า ผ้าที่ผลิตด้วยการทอมือ ผ้าทอพื้นบ้าน นั้นจะมีความแข็งแรงน้อย (Tensile Strength) ความแน่นในการทอ (Density) ต่ำและไม่สม่ำเสมอ แม้ในวงการแฟชั่นเอง ยังมีการเสริมความแข็งแรงด้วยผ้ากาว ยิ่งถ้าในอุตสาหกรรมเคหะสิ่งทอ การเอาผ้าเหล่านี้มาใช้เป็นผ้าเฟอร์นิเจอร์ หรือบุโซฟาตัวโปรดของคุณนั้น ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะอายุการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์ผ้าจะสั้นมาก เพราะผ้านั้นไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการรับสภาวะของการใช้งานอย่างหนัก อย่างผ้าบุเฟอร์นิเจอร์โดยทั่วไป ซึ่งปกติผ้าบุเฟอร์นอเจอร์ต้องมีการทดสอบการขัดถู (Abrasion Resistance) ตามมาตรฐานสากล

30062 PENINSULA เมื่อมองในระยะใกล้ๆ

สำหรับคนที่โหยหามนต์เสน่ห์ของผ้าคราฟต์ มาเป็นผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ วันนี้นิทัสเรามีผ้าบุเฟอร์เจอร์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันทันสมัยที่สามารถผลิตเส้นด้ายให้มีความเหมือนกับเส้นด้ายปั่นด้วยมือ (Hand Spun) มีความเป็นสลาฟ เส้นเล็กใหญ่ แต่มีความแข็งแรง และเทคโนโลยีการทอที่ทันสมัยที่สามารถป้อนด้ายที่มีความไม่สม่ำเสมอเข้าในกระบวนการทอได้ ให้อารมณ์ของงานคราฟต์ได้อย่างเต็มเปี่ยม พร้อมด้วยความแข็งแรงของตัวเนื้อผ้า ที่ทุกตัวมีการทดสอบการขัดถู (Abrasion Resistance) ในมาตรฐานเดียวกับผ้าบุเฟอร์นิเจอร์โดยทั่วไป

30066 PARADISO-101 CREAM

อีกทั้งคุณสมบัติการสะท้อนน้ำ (Water Repellrnt) ที่เป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้ผ้าของคุณไม่เปื้อนและเก่าง่าย ช่วยเพิ่มอายุการใช้งาน แต่ด้วยลักษณะของเนื้อผ้าที่มีเท็กเจอร์ของผ้าที่ไม่เรียบเนียน ตามสไตล์งานคราฟต์ ประสิทธิภาพของการสะท้อนน้ำนี้ก็จะมากน้อยแตกต่างกันไป


ผ้าของนิทัส ที่ให้อารมณ์แบบงานคราฟต์

ซึ่งในรูปถ่ายอยู่ในขนาด 15×15 เซนติเมตร

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

ผ้าต่วน หรือผ้าซาติน


รู้จักรูปแบบการทอผ้าเสน่ห์ของผ้าซาติ

การทอผ้าเป็นกระบวนการพื้นฐานของอุตสาหกรรมสิ่งทอที่มีมาอย่างยาวนาน โดยอาศัยการสานเส้นด้ายยืน (warp) และเส้นด้ายพุ่ง (weft) เข้าด้วยกันให้เกิดเป็นผืนผ้า รูปแบบของการทอส่งผลต่อผิวสัมผัส ความทนทาน ความยืดหยุ่น และความสวยงามของผ้าโดยตรง ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับรูปแบบการทอเบื้องต้นที่สำคัญ รวมถึงผ้าซาติน ซึ่งเป็นหนึ่งในผ้าทอที่มีเอกลักษณ์และได้รับความนิยมอย่างสูงในวงการแฟชั่นและตกแต่งภายใน


1. การทอแบบธรรมดา (Plain Weave)

การทอแบบธรรมดาเป็นลายทอพื้นฐานที่สุด เส้นด้ายพุ่งจะสอดผ่านเส้นด้ายยืนแบบสลับกันทุกเส้น คล้ายตารางหมากรุก เช่น ขึ้น-ลง-ขึ้น-ลง เป็นจังหวะต่อเนื่อง ทำให้โครงสร้างผ้ามีความแน่นหนา สม่ำเสมอ และแข็งแรง ลักษณะเด่นคือผิวผ้าเรียบแต่ไม่มันวาว นิยมใช้ในผ้าฝ้าย ผ้าโพลีเอสเตอร์ ผ้าป่าน และผ้าลินิน เหมาะกับเสื้อผ้าในชีวิตประจำวันหรือผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์


2. การทอลายทแยง (Twill Weave)

การทอแบบลายทแยงมีลักษณะเด่นคือเส้นด้ายพุ่งจะสอดผ่านเส้นด้ายยืนโดยข้ามมากกว่า 1 เส้น เช่น ข้าม 2 แล้วลอด 1 เส้น ทำให้เกิดลายทแยงเฉียงบนพื้นผิวของผ้า ผ้าทแยงมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และทิ้งตัวได้ดี ลักษณะลายเฉียงทำให้ไม่เห็นรอยเปื้อนชัดเจน จึงมักใช้ทำกางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ต หรือเสื้อแจ็คเก็ต


3. การทอแบบตะกร้า (Basket Weave)

การทอแบบตะกร้าเป็นการพัฒนามาจากการทอแบบธรรมดา โดยใช้เส้นด้ายยืนและพุ่งมากกว่า 1 เส้น สานข้ามกันเป็นกลุ่ม เช่น สาน 2×2 หรือ 3×3 ทำให้ได้ผิวผ้าที่หนาและมีลักษณะคล้ายตะกร้า มีความยืดหยุ่นและความทนทานมากกว่าการทอธรรมดา ใช้ในงานตกแต่งบ้าน เช่น ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ หรือผ้าม่าน


4. การทอแบบด๊อบบี้ (Dobby Weave)

การทอแบบด๊อบบี้เป็นเทคนิคที่ใช้เครื่องทอพิเศษชื่อ “ด๊อบบี้ลูม” ซึ่งสามารถควบคุมการยกเส้นด้ายยืนแต่ละเส้นอย่างแม่นยำ ทำให้สามารถสร้างลวดลายเล็ก ๆ ที่ซับซ้อน เช่น ลายเรขาคณิต ลายจุด หรือลายดอกไม้เล็ก ๆ ได้ ผ้าด๊อบบี้จึงมีมิติเพิ่มขึ้น และให้ความรู้สึกหรูหรากว่าผ้าทอลายพื้นฐาน เหมาะสำหรับเสื้อเชิ้ต ชุดทำงาน หรือผ้าปูโต๊ะ


5. การทอแบบแจ็คการ์ด (Jacquard Weave)

การทอแบบแจ็คการ์ดเป็นการทอที่ซับซ้อนที่สุด โดยใช้เครื่องทอที่สามารถควบคุมเส้นด้ายยืนได้แบบแยกอิสระทุกเส้น ทำให้สามารถสร้างลวดลายละเอียดที่ซับซ้อน เช่น ลายดอกไม้ ลายสัตว์ หรือลายกราฟิกต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำซ้อนกันตลอดผืนผ้า ผลลัพธ์ที่ได้คือผ้าหรูหราสวยงาม นิยมใช้ในงานตกแต่ง เช่น ผ้าม่าน ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ หรือเสื้อผ้าระดับพรีเมียม


6. ผ้าซาติน (Satin Weave)

ในบรรดารูปแบบการทอทั้งหมด “ผ้าซาติน” โดดเด่นที่สุดในด้านผิวสัมผัสและความมันวาว โครงสร้างของการทอซาตินแตกต่างจากแบบอื่นตรงที่เส้นด้ายพุ่งจะลอยผ่านเส้นด้ายยืนหลายเส้น (เช่น 4 หรือ 5 เส้น) ก่อนสอดผ่านใต้น้อยเส้น (เช่น 1 เส้น) ซึ่งเรียกว่าลายทอแบบ “เส้นลอย” (float) ลักษณะนี้ช่วยให้เส้นด้ายเรียงชิดกัน ทำให้พื้นผ้าเนียนเรียบและสะท้อนแสงได้ดี

ผ้าซาตินสามารถทอได้จากเส้นใยหลากชนิด ทั้งไหมแท้ ผ้าฝ้าย เรยอน หรือโพลีเอสเตอร์ โดยเฉพาะซาตินจากไหมแท้จะให้สัมผัสนุ่มลื่นและเงางามที่สุด นิยมนำไปใช้ในงานที่ต้องการความหรูหรา เช่น ชุดราตรี ชุดนอน ผ้าปูที่นอน ผ้าม่าน หรือแม้แต่ชุดเจ้าสาว

รูปแบบการทอซาตินมีหลายแบบ เช่น

  • ซาตินแบบ 4 เส้นรัด (Four-harness satin): เส้นด้ายพุ่งลอยเหนือเส้นด้ายยืน 3 เส้น แล้วลอด 1 เส้น
  • ซาตินแบบ 5 เส้นรัด และ 8 เส้นรัด: ยิ่งจำนวนเส้นรัดมากเท่าไหร่ พื้นผ้าจะเนียนและมันวาวมากขึ้น

แม้ว่าผ้าซาตินจะสวยงาม แต่ข้อเสียคือเกิดรอยขีดข่วนง่าย และไม่ทนทานเท่าผ้าทอลายทแยงหรือทอธรรมดา จึงมักใช้ในงานที่เน้นความสวยงามมากกว่าความทนทาน


สรุป

รูปแบบการทอมีบทบาทสำคัญต่อคุณสมบัติของผ้า ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรง ความเงางาม หรือความยืดหยุ่น ตั้งแต่ลายทอธรรมดาไปจนถึงลายทอซับซ้อนอย่างแจ็คการ์ด และซาติน แต่ละแบบมีความเหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน

โดยเฉพาะผ้าซาติน ซึ่งแม้จะมีโครงสร้างที่ซับซ้อนน้อยกว่าผ้าแจ็คการ์ด แต่กลับโดดเด่นในด้านผิวสัมผัสที่เนียนเรียบและความหรูหราที่ไม่เหมือนใคร จึงยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในงานออกแบบแฟชั่นและตกแต่งภายในระดับสูง


หากต้องการรูปประกอบหรืออินโฟกราฟิกแบบแผนผังการทอแต่ละแบบด้วยก็สามารถจัดให้ได้ครับ — สนใจไหม?

ผ้าเจ็คการ์ด

ผ้าเจ็คการ์ด (Jacquard Fabric)

ผ้าเจ็คการ์ดเป็นผ้าที่ทอด้วยเทคนิคการทอแบบ Jacquard ซึ่งใช้ระบบควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายเพื่อสร้างลวดลายที่ซับซ้อนและหลากหลายได้อย่างแม่นยำ เทคนิคนี้ใช้เครื่องทอที่เรียกว่า “ช่องจักวาร์ด” (Jacquard Loom) ซึ่งมีตะขอหลายตัวควบคุมเส้นด้ายแต่ละเส้นตามลวดลายที่ออกแบบไว้ เครื่องทอนี้สามารถโปรแกรมให้ทอลายละเอียดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ผ้าเจ็คการ์ดมีลักษณะการทอที่หนาและมีคุณภาพสูง

ผ้าเจ็คการ์ดนิยมใช้ในการผลิตเสื้อผ้า ผ้าม่าน ผ้าคลุมเตียง และอุปกรณ์ตกแต่งภายในบ้าน เนื่องจากมีลวดลายที่สวยงามและมีความทนทาน นอกจากนี้ ยังสามารถผสมผสานกับเทคนิคการทออื่นๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของลวดลาย เช่น การทอซาติน (Satin weave) เพื่อสร้างพื้นผิวที่เงางาม หรือการทอแบบด้ายผสม (Blended Yarn) เพื่อผสมวัสดุต่างชนิดกันให้เกิดลวดลายเฉพาะตัว

ในปัจจุบัน ผ้าเจ็คการ์ดยังคงเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมแฟชั่นและตกแต่งบ้าน ด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถสร้างลวดลายที่สลับซับซ้อนและสวยงามได้มากขึ้น จึงทำให้ผ้าเจ็คการ์ดเป็นวัสดุที่มีคุณค่าและความโดดเด่นในด้านการออกแบบและการใช้งานอย่างกว้างขวาง


ประวัติเครื่องทอ Jacquard และวิวัฒนาการสู่ระบบคอมพิวเตอร์

เครื่องทอ Jacquard ในอดีต

เครื่องทอ Jacquard ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การทอผ้า คิดค้นโดย โจเซฟ มารี จักวาร์ด (Joseph Marie Jacquard) ชาวฝรั่งเศส ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1804) ก่อนหน้านี้ การทอลวดลายซับซ้อนบนผ้าต้องใช้แรงงานคนในการควบคุมเส้นด้ายยืน (เส้นด้ายแนวตั้ง) ให้ยกขึ้นหรือลงตามลวดลายที่ต้องการ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานและมีข้อผิดพลาดได้ง่าย

เครื่องทอ Jacquard ใช้ระบบ บัตรเจาะรู (Punched Cards) เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายยืน แต่ละบัตรเจาะรูจะแทนลวดลายหนึ่งแถว โดยการเจาะรูบนบัตรจะกำหนดว่าด้ายยืนเส้นใดควรถูกยกขึ้นหรือลง ขณะที่เครื่องทอทำงาน บัตรเหล่านี้จะถูกส่งผ่านเครื่องทีละใบ ทำให้สามารถทอลวดลายที่ซับซ้อนได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้แรงงานคนในการควบคุมเส้นด้ายแต่ละเส้น

เครื่องทอ Jacquard ถือเป็นจุดเริ่มต้นของระบบการทำงานแบบโปรแกรมได้ (Programmable System) และเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาคอมพิวเตอร์ในยุคต่อมา

วีดีโอตัวอย่างการทอผ้า Jacquard แบบสมัยโบราณ โดยใช้ระบบ Punched Cards

ระบบเครื่องทอ Jacquard ในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน เครื่องทอ Jacquard ได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ แทนที่บัตรเจาะรูด้วยระบบดิจิทัลที่ควบคุมโดยซอฟต์แวร์ ทำให้กระบวนการทอผ้ามีความแม่นยำและรวดเร็วขึ้น โดยมีลักษณะการทำงานดังนี้:

  1. ระบบควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์
    เครื่องทอ Jacquard สมัยใหม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายยืน แต่ละเส้นด้ายยืนจะถูกควบคุมโดย Actuator (อุปกรณ์ขับเคลื่อน) ที่ทำงานตามคำสั่งจากโปรแกรม ซึ่งสามารถออกแบบลวดลายได้อย่างละเอียดผ่านซอฟต์แวร์ออกแบบ (Design Software) เช่น CAD (Computer-Aided Design)
  2. การโปรแกรมลวดลาย
    ลวดลายที่ต้องการทอจะถูกออกแบบบนคอมพิวเตอร์ จากนั้นโปรแกรมจะคำนวณและส่งคำสั่งไปยังเครื่องทอเพื่อควบคุมการยกขึ้นหรือลงของเส้นด้ายยืนแต่ละเส้น ทำให้สามารถทอลวดลายที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำ
  3. ความเร็วและประสิทธิภาพ
    เครื่องทอ Jacquard สมัยใหม่ทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง สามารถทอผ้าได้หลายเมตรในเวลาอันสั้น และรองรับการทอลวดลายที่หลากหลาย โดยไม่จำกัดความซับซ้อนของลวดลาย
  4. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอื่นๆ
    เครื่องทอ Jacquard ในปัจจุบันยังสามารถผสมผสานกับเทคนิคการทออื่นๆ เช่น การทอซาติน (Satin Weave) หรือการทอแบบด้ายผสม (Blended Yarn) เพื่อสร้างพื้นผิวและลวดลายที่โดดเด่นยิ่งขึ้น

ตัวอย่างผ้าของเราที่ทอด้วยเครื่องทอระบบแจ็คการ์ด

ผ้าม่าน Curtain


ผ้าม่านกันแสงหน้ากว้าง Width Wide Dim-out