fbpx

HINTS OF NATURE Upholstery Collection

Hints of Nature Upholstery Collection
เล่มที่รวบรวมผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ที่มากที่สุด และดีที่สุดแห่งปี
Enjoy it ^ ^


GLOAMING Collection

GLOAMING
DIM-OUT COLLECTION

กลูมมิง เล่มรวมผ้าม่านกันแสง


ALL-NEW Collection

 

CHIC AND CONTEMPORARY DRAPERY COLLECTION
ออลนิว เล่มรวมผ้าม่านมีสไตล์และร่วมสมัยที่ดีสุดของนิทัส


Repeat Size ขนาดช่วงลายผ้าในเล่มมีดังนี้

40034 PHILIP
REPEAT SIZE : 23 x 27 cm


40035 ANDREW
REPEAT SIZE : 23 x 29 cm


40036 GEORGE
REPEAT SIZE : 17 x 15 cm


40038 BEATRICE
REPEAT SIZE : 23 x 47 cm


40039 SARAH
REPEAT SIZE : 23 x 30 cm


40040 SALOLA
REPEAT SIZE : 34.5 x 36 cm


40042 CHARLOTTE
REPEAT SIZE : 70 x 58 cm


ได้คืบจะเอาศอก มันยาวแค่ไหน? หน่วยวัดความยาวแบบไทยๆ

หน่วยวัดความยาวแบบไทยโบราณ เช่น นิ้ว คืบ ศอก วา เส้น โยชน์ อ้างอิงจากส่วนของร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นวิธีการวัดที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ หน่วยวัดเหล่านี้มีความยืดหยุ่น เนื่องจากขนาดร่างกายของแต่ละคนไม่เท่ากัน ทำให้ค่าที่ได้อาจแตกต่างกันบ้างในทางปฏิบัติ

ปัจจุบันประเทศไทยใช้ระบบเมตริก (เมตร, เซนติเมตร) แทนหน่วยวัดแบบโบราณแล้ว แต่หน่วยเหล่านี้ยังคงถูกใช้ในบางบริบททางวัฒนธรรมหรือประเพณี

นิ้ว อักษรย่อว่า นิ. (Fingerbreadth) ประมาณ 2.083 ซม.

  • อ้างอิงจาก: ความกว้างของนิ้วมือ (นิ้วโป้ง)
  • วิธีการวัด: วัดความกว้างของนิ้วโป้งที่ฐานนิ้ว (ส่วนที่กว้างที่สุด)
  • ค่าประมาณ: 1 นิ้ว ≈ 2.083 เซนติเมตร

ปัจจุบัน หน่วย นิ้ว ได้รับการกำหนดมาตรฐานให้เท่ากับ 2.54 เซนติเมตร (หรือ 0.0254 เมตร) ซึ่งตรงกับมาตรฐานสากลของ inch ในระบบอิมพีเรียล

คืบ อักษรย่อว่า ค. (Span) เท่ากับ 12 นิ้ว หรือประมาณ 25 ซม.

  • อ้างอิงจาก: ระยะห่างระหว่างปลายนิ้วโป้งกับปลายนิ้วก้อย เมื่อกางมือออกให้สุด
  • วิธีการวัด: กางมือออกให้สุด แล้ววัดระยะจากปลายนิ้วโป้งถึงปลายนิ้วก้อย
  • ค่าประมาณ: 1 คืบ = 12 นิ้ว ≈ 25 เซนติเมตร

ศอก อักษรย่อว่า ศ. (Cubit)  เท่ากับ 2 คืบ หรือประมาณ 50 ซม.

  • อ้างอิงจาก: ระยะห่างจากปลายนิ้วกลางถึงข้อศอก
  • วิธีการวัด: วัดจากข้อศอกถึงปลายนิ้วกลางที่เหยียดตรง
  • ค่าประมาณ: 1 ศอก = 2 คืบ ≈ 50 เซนติเมตร

วา อักษรย่อว่า ว. (Fathom) เท่ากับ 4 ศอก หรือประมาณ 2 เมตร

  • อ้างอิงจาก: ระยะห่างระหว่างปลายมือทั้งสองข้างเมื่อกางแขนออก
  • วิธีการวัด: กางแขนทั้งสองข้างออกให้สุด แล้ววัดระยะจากปลายมือข้างหนึ่งถึงปลายมืออีกข้างหนึ่ง
  • ค่าประมาณ: 1 วา = 4 ศอก ≈ 2 เมตร

เส้น อักษรย่อว่า สน. (Sen ใช้คำทับศัพท์ หรือ Thai Line ในบางกรณี) เท่ากับ 20 วา หรือประมาณ 40 เมตร

  • อ้างอิงและวิธีการวัด: ไม่ได้อ้างอิงจากร่างกายโดยตรง แต่คำนวณจากหน่วยวา
  • ค่าประมาณ: 20 วา หรือประมาณ 40 เมตร

โยชน์ อักษรย่อว่า  ย. (Yojana คำทับศัพท์จากสันสกฤต หรือ Thai League ในบางกรณี) เท่ากับ 400 เส้น หรือประมาณ 16 กิโลเมตร

  • อ้างอิงและวิธีการวัด: ไม่ได้อ้างอิงจากร่างกายโดยตรง แต่คำนวณจากหน่วยเส้น
  • ค่าประมาณ:: 400 เส้น หรือประมาณ 16 กิโลเมตร

ตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ 
จึงกำหนดโดยเทียบกับระบบหน่วยเมตริก (Metric Unit)

ตาม พระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พระพุทธศักราช 2466 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2466 ประเทศไทยได้กำหนดให้ใช้ระบบเมตริก (Metric System) เป็นมาตรฐานในการวัดแทนระบบวัดแบบไทยโบราณ เพื่อให้สอดคล้องกับระบบสากล และเพื่อให้ระบบการวัดของประเทศไทยเป็นมาตรฐานเดียวกัน และสอดคล้องกับระบบสากล และลดความสับสนในการค้าขายและการแลกเปลี่ยนสินค้า อำนวยความสะดวกในการติดต่อกับต่างประเทศ โดยพระราชบัญญัตินี้ได้กำหนดการเทียบค่าระหว่างหน่วยวัดแบบไทยโบราณกับระบบเมตริกไว้อย่างชัดเจน ดังนี้:

หน่วยวัดความยาว

  • 1 นิ้ว (องคุลี) เท่ากับ 2.083 เซนติเมตร
  • 1 คืบ เท่ากับ 0.25 เมตร (25 เซนติเมตร)
  • 1 ศอก เท่ากับ 0.5 เมตร (50 เซนติเมตร)
  • 1 วา เท่ากับ 2 เมตร
  • 1 เส้น เท่ากับ 40 เมตร
  • 1โยชน์ เท่ากับ 16 กิโลเมตร (400 เส้น)

หน่วยวัดพื้นที่

  • งาน = 400 ตารางเมตร (พื้นที่ 1 เส้น × 1 เส้น)
  • ไร่ = 1,600 ตารางเมตร (4 งาน)

หน่วยวัดปริมาตร (ตวง)

  • ทะนาน = 1 ลิตร
  • ถัง = 20 ลิตร

หน่วยวัดน้ำหนัก (ชั่ง)

  • ชั่ง = 1.2 กิโลกรัม
  • ตำลึง = 60 กรัม
  • บาท = 15 กรัม
  • สลึง = 3.75 กรัม

แม้ว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนมาใช้ระบบเมตริกเป็นหลัก แต่หน่วยวัดแบบไทยโบราณยังคงถูกใช้ในบางบริบท เช่น ในงานศิลปะ งานหัตถกรรม หรือในประเพณีวัฒนธรรมต่าง ๆ แต่ในทางการค้าและการศึกษาจะใช้ระบบเมตริกเป็นหลักตามที่กฎหมายกำหนดไว้.


ISTANBUL F Collection

Cruises: Outdoor Fabrics Collection


SLUMBER F Collection

 

SLUMBER Collection
แผ่นพับรวมผ้ากันแสง 100%


ม่านเปิดทางเดียวหรือม่านแยกกลางดี

แบบไหนที่นิทัสเราแนะนำ ไปดูกันเลย


A หน้าต่าง บานฟิกซ์


B หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 1 บานสไลด์ 1


C หน้าต่างหรือประตู บานสไลด์ 2


D หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 2 บานสไลด์ 1


E หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 1 บานสไลด์ 2


F หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 2 บานสไลด์ 2


Repeat คืออะไร และวัดยังไง

ว่าด้วยการออกแบบลวดลายนั้น โดยปกติ จะมีการออกแบบลวดลายอยู่ 2 ประเภท คือ

  1. ลวยลายแบบไม่ต่อลาย (Individual Design) คือจะเป็นลวดลายที่สร้างสรรค์ขึ้นมาแบบเดี่ยวๆ แยกกัน หรือเป็นกลุ่มลายที่ไม่ต่อเนื่องกัน เมื่อนำมาต่อกันก็จะเป็นลักษณะ เป็นกลุ่มๆ ที่ซ้ำกันเหมือนเราปูกระเบื้องที่ลวดลายไม่ต่อเนื้องกัน

2. ลายแบบต่อเนื่องกัน (Repeat Pattern Design) เป็นลวดลายที่ออกแบบโดยเฉพาะให้มีความต่อเนื่อง เมื่อเรานำลายมาชนต่อกันแล้ว ทั้งซ้าย-ขวา, บน-ล่าง ลวดลายนั้นก็จะต่อเนื้องสม่ำเสมอกันทั้งหมด

ตัวอย่างลาย 1 Repeat
ที่อย่าลายที่ออกแบบมาให้ต่อเนื่องกัน

การสังเกตุ และวัดระยะของลายผ้า Repeat ทำได้อย่างไร? จริงๆ เป็นสิ่งที่ง่ายมากๆ โดยเราจะหาจุดสังเกตุจุดใดก็ได้ของลายผ้าที่เด่นชัด เช่นตามตัวอย่างรูปด้านล่าง เราจะเอาปลายก้านของช่อดอกนั้นเป็นตำแหน่งหลักในการวัดระยะ

สังเกตุจากจุดหลักตั้งต้น และมองหาจุดที่ลายผ้านั้นซ้ำกัน มองไปทิศทางซ้ายไปขวา คือค่าความกว้าง (Width) และในส่วนของแนวตั้ง (Height) จากจุดที่ลายผ้าซ้ำกัน เราก็จะได้ขนาดของ Repeat ผ้านั่นเอง


ความสำคัณของ Repeat คือ ในการตัดเย็บผ้าม่าน หรือผ้าบุโซฟาตัวใหญ่ ที่ต้องมีการต่อลายให้ลวดลายต่อเนื่องกัน ฉะนั้น การรู้ตัวเลขของระยะซ้ำของลายผ้านั้นก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะต้องใช้ในการคำนวนผ้าเพื่อให้ระยะการต่อลวดลายลงตัว

รูปตัวอย่าง การต่อผ้าของผ้าม่าน

ในกรณีผ้าม่านที่ไม่มีลวดลายหรือเป็นเพียงเท็กเจอร์เล็กๆ ในลายผ้านั้น ก็จะไม่มีปัญหาในลายผ้าแต่อย่างใด เพราะลายนั้นมันเล็กเกินกว่าจะสังเกตุได้ว่าไม่ต่อเนื่องกัน

ตัวอย่างลวดลายผ้าเมื่อกางออกมาจากม้วนผ้า
ตัวอย่างการต่อลายผ้าโดยไม่ได้คำนวนเผื่อระยะ Repeat ตะเข็บรอยต่อลวดลายจะไม่ต่อเนื่องกัน
ตัวอย่างการต่อลายผ้าโดยรู้ระยะของ Repeat ผ้า ตะเข็บรอยต่อลวดลายจะต่อเนื่องกันสวยงาม

ดรอปฝ้าซ่อนราง และกล่องบังราง ต้องเว้นระยะเท่าไหร่

หลายคนที่เคยแต่งบ้าน แล้วสังเกตุการติดตั้งม่าน แล้วทำไมรู้สึกว่า บ้านตัวอย่าง หรือบ้านเพื่อนที่เราไปเที่ยวหา ทำไมผ้าม่านนั้นดูสวยลงตัว เป็นส่วนหนึ่งของบ้านได้ดี สิ่งที่สำคัญคือ การดรอปฝ้า  (Drop Ceiling) ซ่อนรางม่านและหัวม่านยังไงละ แต่สำหรับบางบ้านที่ไม่ได้วางแผนกับการดรอปฝ้าไว้ตั้งแต่แรก หรือไม่อยากรื้อให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็มีวิธีการแก้ไขโดยการ เสริมกล่องบังราง (Curtain Cornice, Pelmet) แล้วทั้งสองอย่างนี้ เค้าเว้นระยะกันเท่าไหร่ ไปดูกันเลย

ตัวอย่างห้องที่มีการออกแบบในการดรอปฝ้า

สำหรับลูกค้าบ้าน ถ้าต้องการดรอปฝ้า ควรปรึกษาเรื่องแบบบ้าน ตั้งแต่แรกก่อนสร้างบ้าน เพราะต้องกำหนดระยะความสูงจากพื้นถึงฝ้าตั้งแต่แรก เพราะถ้าไม่ได้กำหนดไว้ ในการปรับปรุงตกแต่งที่หลังอาจส่งผลให้ระดับฝ้าจะต่ำกว่าปกติ ทำให้รู้สึกอึดอัด งานส่วนนี้ ต้องปรึกษา และทำด้วยผู้รับเหมาตกแต่งบ้านที่เชี่ยวชาญ ร้านม่านโดยทั่วไปมักทำในส่วนนี้ไม่ได้ นะครับ


ตัวอย่างการแก้ปัญหาด้วยการเสริมกล่องม่านบังราง

สำหรับงานเสริมกล่องบังรางนั้น เป็นงานเสริม เพิ่มความสวยงานโดยไม่ได้ไปยุ่งกับระดับของตัวฝ้าเพดานเดิม สามารถบอกทางร้านม่านเลยตั้งแต่แรกว่าต้องการทำสิ่งนี้ด้วย เพื่อง่ายต่อการคำนวนและเข้าวัดพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง และงานส่วนนี้ร้านม่านทั่วไปสามารถทำได้


โดยทั่วไปแล้วการตัดเย็บผ้าม่านสำหรับรางสไลด์ มักตัดเย็บกันในสองรูปแบบ 1. แบบคลาสสิกคือ ม่านสามจีบ 2. แบบโมเดิร์น คือแบบลอน S ซึ่งรูปแบบการตัดเย็บทั้งสองแบบมีผลกับการเว้นระยะห่างอย่างยิ่ง เพราะม่านสามจีบมีการเก็บช่วงลอนของม่านเป็นในรูปแบบจีบแล้ว ซึ่งจะทำให้กินระยะน้อยว่าม่านลอน S ที่มีช่วงลอนโค้งกินไปทางหน้าและหลังที่เท่าๆ กัน

แล้วการเว้นระยะห่างจากผนังถึงขอบของฝ้าเป็นระยะเท่าไหร่ หรือการเสริมกล่องม่านต้องเว้นเท่าไหร่ ก็ไปดูกันเลย

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ช่วยให้หลายท่านวางแผนในการออกแบบตกแต่งภายใน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผ้าม่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ