My Room: Upholstery Collection
- UPHOLSTERY ผ้าบุเฟอร์นอเจอร์: 30010 SMART, 30011 NEO CLASSIC, 30016 OLYMPIA, 30017 PARTHENON, 30018 GREEK, 30026 GOTHIC, 30027 ROMANTIC, 30031 COLISEUM, 30032 TROY
My Room: Upholstery Collection
My Place: Upholstery Collection

หลายท่านคงมีปัญหาในการจัดวางหมอนเพื่อการส่งเสริมบรรยากาศของห้อง บนโซฟาตัวโปรดของท่าน จะจัดวางอย่างไรให้ดูดี ดูสวยงาม และดูมีสไตล์ วันนี้เราขอแนะนำการจัดวางหมอนแบบง่ายๆ ในสไตล์ต่างๆ ให้ทุกท่านได้เลือกสรร เพื่อนำไปใช้ เช่น การจัดวางหมอนในห้องรับแขก โซฟาภายในบ้าน หรือล็อบบี้ต้อนรับของโรงแรมต่างๆ ท่านจะได้พบกับรูปแบบการจัดวางถึง 9 แบบ 9 สไตล์ ด้วยกัน งั้นเราไปดูวิธีการจัดกันเลยดีกว่า ..

เหมาะสำหรับห้องที่มีโซฟา 2-3 ที่นั่ง ใช้หมอน 2 ใบ ที่มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน โดยมากหมอนใบเล็กจะมีขนาด 18″ เป็นสีอ่อนกว่าตัวโซฟา และหมอนใบใหญ่จะมีขนาด 20″ ที่มีสีสันใกล้เคียงกับตัวโซฟา สำหรับผู้ที่ไม่ชอบมีหมอนตกแต่งเยอะ การวางหมอนไม่สมดุลกันทั้งสองข้างให้ความรู้สึกที่เรียบง่าย เป็นกันเอง ดูเป็นมิตร และผ่อนคลาย

เหมาะสำหรับห้องที่มีโซฟา 2-3 ที่นั่ง ใช้หมอน 3 ใบ ที่มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน โดยมากหมอนใบเล็กจะมีขนาด 18″ เป็นสีอ่อนกว่าตัวโซฟา และหมอนใบใหญ่จะมีขนาด 20″ ที่มีสีสันใกล้เคียงกับตัวโซฟา และหมอนเล็กใบยาวขนาด 18″x 12″ การวางหมอนไม่สมดุลแบบทรงสามเหลี่ยม ให้ความรู้สึกที่เรียบง่ายแต่ดูมีสไตล์ ส่งเสริมบรรยากาศห้องให้ดูมีความทันสมัยยิ่งขึ้น

เหมาะสำหรับห้องที่มีโซฟา 3 ที่นั่ง ใช้หมอน 4 ใบ ที่มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน โดยมากหมอนใบเล็กจะมีขนาด 18″ เป็นสีอ่อนกว่าตัวโซฟา และหมอนใบใหญ่จะมี 20″ ที่มีสีสันใกล้เคียงกับตัวโซฟา การวางหมอนแบบสมดุลกันทั้งซ้ายและขวา โดยให้หมอนมีขนาดเล็กอยู่ข้างหน้าหมอนที่มีขนาดใหญ่กว่า ให้ความรู้สึกเรียบง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเป็นทางการ เหมาะสำหรับการวางในห้องนั่งเล่นที่เป็นห้องรับแขกในห้องเดียวกัน ส่งเสริมบรรยากาศห้องให้ดูมีความทันสมัย และหรูหรา

เหมาะสำหรับห้องที่มีโซฟา 3 ที่นั่ง ใช้หมอน 4 ใบ ที่มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน โดยมากหมอนใบเล็กจะมีขนาด 18″ เป็นสีอ่อนกว่าตัวโซฟา และหมอนใบใหญ่จะมีขนาด 20″ ที่มีสีสันใกล้เคียงกับตัวโซฟา การวางหมอนแบบสมดุลกันทั้งซ้ายและขวา โดยหมอนใบใหญ่จะจัดวางด้านหลัง และหมอนใบเล็กวางด้านหน้า ซึ่งคล้ายกับการวางแบบ Balance Style แต่จะมีการสลับของน้ำหนักสีของหมอน ให้ความรู้สึกเรียบง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเป็นทางการและยังดูแปลกตาสร้างความรู้สึกที่แปลกใหม่ เหมาะสำหรับการวางในห้องนั่งเล่นที่ใช้เป็นห้องรับแขกในห้องเดียวกัน ส่งเสริมบรรยากาศห้องให้ดูมีความทันสมัย แปลกตา และหรูหรา

เหมาะสำหรับห้องที่มีโซฟา 3 ที่นั่ง ใช้หมอน 4 ใบ ที่มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน โดยมากหมอนใบเล็กจะมีขนาด 18″ เป็นสีอ่อนกว่าตัวโซฟา และหมอนใบใหญ่จะมีขนาด 20″ ที่มีสีสันใกล้เคียงกับตัวโซฟา และใบหมอนเล็กยาวขนาด 18″x 12″ ที่มีสีสันแตกต่างกันออกไป การวางหมอนแบบสมดุลที่ไม่สมดุลกัน คือทั้งซ้ายและขวามีจำนวนหมอนที่เท่ากัน แต่ขนาดของหมอนนั้นไม่เท่ากัน โดยให้หมอนที่มีขนาดเล็กอยู่ข้างหน้าหมอนที่มีขนาดใหญ่กว่า ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ไม่ซ้ำซากจำเจ แสดงถึงบุคลิกการแต่งบ้านไม่ยึดติดกับแบบแผน เหมาะสำหรับการวางในห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขก ส่งเสริมบรรยากาศห้องให้ดูมีความทันสมัย แตกต่างมีความเป็นตัวของตัวเองสูง

เหมาะสำหรับห้องที่มีโซฟา 3 ที่นั่งขึ้นไป ใช้หมอน 5 ใบ ที่มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน โดยมากหมอนใบเล็กจะมีขนาด 18″ เป็นสีอ่อนกว่าตัวโซฟา และหมอนใบใหญ่จะมีขนาด 20″ ที่มีสีสันใกล้เคียงกับตัวโซฟา และหมอนใบเล็กยาวขนาด 18″x 12″ ที่มีสีสันแตกต่างกันออกไป การวางหมอนแบบสมดุลกันทั้งซ้ายและขวา โดยให้หมอนที่มีขนาดเล็กอยู่ข้างหน้าหมอนที่มีขนาดใหญ่กว่า ให้ความรู้สึกเรียบง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเป็นทางการ เหมาะสำหรับการวางในห้องรับแขก ส่งเสริมบรรยากาศห้องให้ดูมีความเป็นทางการ และหรูหรา

เหมาะสำหรับห้องที่มีโซฟา 3 ที่นั่งขึ้นไป ใช้หมอน 5 ใบ ที่มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน โดยมากหมอนใบเล็กจะมีขนาด 18″ เป็นสีอ่อนกว่าตัวโซฟา และหมอนใบใหญ่จะมีขนาด 20″ ที่มีสีสันใกล้เคียงกับตัวโซฟา และหมอนใบใหญ่สุดจะมีขนาด 22″ ที่มีสีสันแตกต่างกันออกไป การวางหมอนแบบสมดุลกันทั้งซ้ายและขวา โดยให้หมอนที่มีขนาดเล็กอยู่ข้างหน้าหมอนที่มีขนาดใหญ่กว่า และหมอนใบใหญ่ที่สุดวางกึ่งกลางโซฟาด้านหลัง ให้ความรู้สึกสมดุล เหมาะสำหรับการวางในห้องรับแขก ส่งเสริมบรรยากาศห้องให้ดูมีความเป็นทางการและหรูหรา

เหมาะสำหรับห้องที่มีโซฟา 3 ที่นั่งขึ้นไป ใช้หมอน 6 ใบ ที่มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน โดยมากหมอนใบเล็กจะมีขนาด 18″ เป็นสีอ่อนกว่าตัวโซฟา และหมอนใบใหญ่จะมีขนาด 20″ ที่มีสีสันใกล้เคียงกับตัวโซฟา และหมอนใบใหญ่สุดจะมีขนาด 22″ หมอนใบเล็กยาวขนาด 18″x 12″ ที่มีสีสันหรือมีลวดลายตัดกันกับตัวโซฟา เป็นแบบการวางหมอนที่นิยมกันมากที่สุดสำหรับบ้านขนาดใหญ่ โรงแรม 5 ดาว การวางหมอนแบบสมดุลกันทั้งซ้ายและขวา โดยให้หมอนที่มีขนาดเล็กอยู่ข้างหน้าหมอนที่มีขนาดใหญ่กว่า และหมอนใบใหญ่ที่สุดวางกึ่งกลางโซฟาด้านหลัง พร้อมหมอนใบเล็กยาววางด้านหน้าสุดของชุดหมอน ให้ความรู้สึกสมดุล เหมาะสำหรับการวางในห้องรับแขก ล็อบบี้โรงแรม 5 ดาว ส่งเสริมบรรยากาศห้องให้ดูมีความปราณีต บรรจง หรูหรา มีรสนิยมแบบชนชั้นสูง

คล้ายกับแบบ Crown Style เพียงสลับให้หมอนใบใหญ่สุดในชุด มี 2 ใบจัดอยู่ที่ซ้ายและขวาแบบสมดุลกันและใบถัดลงมาจัดอยู่ในตำแหน่งตรงกลางแทน ให้ความรู้สึกสมดุล เหมาะสำหรับการวางในห้องรับแขก ล็อบบี้โรงแรม 5 ดาว ส่งเสริมบรรยายกาศห้องให้ดูมีความปราณีต บรรจง หรูหรา มีรสนิยมแบบชนชั้นสูง เช่นกัน

ฉลาก “Made in Green” ได้รับการจัดการโดย OEKO-TEX ซึ่งเป็นระบบการทดสอบและรับรองอิสระสำหรับผลิตภัณฑ์สิ่งทอ OEKO-TEX มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก องค์กรก่อตั้งขึ้นในปี 2535 โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการผลิตสิ่งทอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม
ฉลากไม่เพียงแต่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังให้ความโปร่งใสเกี่ยวกับกระบวนการผลิตอีกด้วย สิทธิ์การได้รับฉลาก “Made in Green” ผลิตภัณฑ์สิ่งทอต้องผ่านเกณฑ์ที่เข้มงวดที่เกี่ยวข้องกับการผลิต เช่น การใช้เทคนิคการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สภาพการทำงานที่ปลอดภัยและเป็นธรรมสำหรับคนงาน และการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืน ฉลากยังกำหนดให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของประเทศที่ผลิตผลิตภัณฑ์
โดยรวมแล้ว ฉลาก “Made in Green” เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าสำหรับผู้บริโภคที่สนใจซื้อผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่ยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม

DuPont Teflon Fabric Protector ผลิตภัณฑ์ จากบริษัท DuPont บริษัทอเมริกัน ก่อตั้งขึ้นในปี 2345 ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของบริษัท ได้แก่ เส้นใย nylon, เส้นใย Kevlar, Tyvek, และ Teflon
Teflon Fabric Protector เป็นสเปรย์ฉีดที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผ้าจากการหก คราบสกปรก และความเสียหายจากน้ำ การรักษาจะสร้างเกราะป้องกันรอบเส้นใยของผ้า ทำให้ทนต่อของเหลวและคราบน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่าฟลูออโรโพลิเมอร์ สามารถป้องกันผ้าของคุณจากสิ่งสกปรก และของเหลวต่างๆ เช่น นํ้า กาแฟ ไวน์ ฯลฯ ได้เป็นอย่างดี เมื่อของเหลวนั้นถูกพื้นสัมผัสของผ้าที่เคลือบด้วยสาร Teflon ของเหลวนั้นจะจับตัวกันเป็นเม็ดกลมคล้ายนํ้าที่กลิ้งอยู่บนใบบัว ง่ายต่อการทำความสะอาด ได้ง่ายด้วยน้ำและสบู่อ่อนๆ และเป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานของผืนผ้าได้อีกด้วย
DuPont Teflon Fabric Protector มักใช้กับเสื้อผ้า เบาะ และอุปกรณ์กลางแจ้ง เช่น เต็นท์และเป้สะพายหลัง โปรดทราบว่าการบำบัดไม่ได้ทำให้ผ้ากันน้ำ แต่สามารถกันน้ำได้ ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าผ้าจะกันน้ำได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ในที่สุดผ้าก็จะดูดซับน้ำหากสัมผัสกับผ้าเป็นระยะเวลานาน
คงเป็นเรื่องง่ายขึ้น หากเราสามารถวัดขนาดหน้าต่างหรือประตูด้วยตัวเราเอง ก่อนที่จะไปร้านผ้าม่าน เพื่อช่วยในการลดระยะเวลาที่ช่างต้องมาวัดขนาดที่บ้านของเรา และช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย โดยมีการวัด และการเลือก มีดังนี้
H (Horizontal): ขนาดความกว้างของหน้าต่าง รวบวงกบ
V (Vertical): ขนาดความสูงของหน้าต่าง รวบวงกบ
C (Ceiling) : ขนาดความสูงของขอบบนวงกบหน้าต่าง ถึงฝ้าเพดาน
F (Floor) : ขนาดความสูงของขอบบนวงกบล่าง หน้าต่าง ถึงพื้น
W (Wall) : ขนาดความสูงของผนังฝ้าเพดาน ถึงพื้น
H (Horizontal): ขนาดความกว้างของประตู รวบวงกบ
V (Vertical): ขนาดความสูงของประตู รวบวงกบ
C (Ceiling) : ขนาดความสูงของขอบบนวงกบบนประตู ถึงฝ้าเพดาน
W (Wall) : ขนาดความสูงของผนังฝ้าเพดาน ถึงพื้น
แต่สำหรับประตูหน้าบ้านที่มีความกว้างเกือบสุดผนังที่มีการติดตั้งม่านยาวไปตลอดทั้งผนัง เช่น ประตูหน้าบ้าน ควรต้องวัดระยะเพิ่มเติมดังนี้
A (All): ขนาดความกว้างผนังทั้งหมด
WL (Wall Left) ขนาดความสูงของผนังฝ้าเพดาน ถึงพิ้น ทางด้านซ้ายของห้อง
WR (Wall Right) ขนาดความสูงของผนังฝ้าเพดาน ถึงพิ้น ทางด้านซ้ายของห้อง
หมายเหตุ: เช็คความสูงระดับฝ้า-พื้นทั้งสองฝั่งซ้าย-ขวา เพราะอาจมีความสูงไม่เท่ากัน จากความผิดพลาดของระดับพื้นหรือระดับฝ้าในการก่อสร้างหรือการตกแต่ง และจากความตั้งใจ ทำระดับพื้นเพื่อระบายทิศทางน้ำ
สำหรับบ้านไหนที่มีการเสริมกล่องบังราง หรือเตรียมการดรอปฝ้าซ้อนรางนั้น ต้องมีการวัดเพิ่มเติมดังนี้
Bh (Box Horizontal): ขนาดความกว้างของกล่องบังราง โดยวัดจากเคลียร์ใน
Bd (Box Depth): ขนาดความลึกของกล่องบังราง โดยวัดจากเคลียร์ใน
Dh (Drop Horizontal): ขนาดความกว้างของดรอปฝ้าซ้อนรางม่าน
Dd (Drop Depth): ขนาดความลึกของดรอปฝ้าซ้อนรางม่าน
และเมื่อเราวัดขนาดเสร็จแล้ว ต่อไปคือการเลือกรายละเอียดต่างๆ ของม่าน เช่น
หมดปัญหาผ้าเปื้อนแล้ว ซึมลงเบาะ หรือหมอน ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ผ้า Outdoor Membrane by Nitas Tessile

เทคโนโลยีที่ปกป้อง เฟอร์นิเจอร์ของคุณถึง 3 ชั้นในผ้าตัวเดียว คือ
ด้วย 3 คุณสมบัติที่กล่าวมา ผ้า Membrane By Nitas Tessile จึงเป็นทางเลือกหลัก สำหรับโรงแรมหรือรีสอร์ทที่มีส่วนของเฟอร์นิเจอร์เอาท์ดอร์, บ้านที่มีลูกน้อยวัยซนที่ชอบขีดเขียน, บ้านที่เลี้ยงสุนัข, พื้นที่ต้อนรับในโรงแรมที่ต้องต้อนรับแขกจำนวนมาก, เฟอร์นิเจอร์ในห้องอาหาร หรือพื้นที่สาธารณะอื่นๆ
ซึ่งคุณสามารถหาผ้าที่ดังกล่าวของผ้า NITAS TESSILE ได้ง่ายๆ จากการสังเกต
สัญลักษณ์ ดังรูปด้านล่างนี้


Pilling คือขนของผ้าที่ม้วนตัวกันเป็นก้อน เกิดจากการเสียดสีจากการใช้งานบริเวณนั้น อาจเกิดเป็นบริเวณ หรือเป็นทั้งผืนก็เป็นได้ จากการใช้งานเป็นเวลานานๆ และอีกปัจจัยที่สำคัญคือชนิดของเส้นด้ายที่เรียกว่า ด้าย Spun เป็นด้ายที่เกิดจากเส้นใยขนาดสั้น นำมาปั่นเกลียวกันเป็นเส้นด้าย จุดประสงค์คือ เพื่อต้องการผืนผ้าที่มีความนุ่มฟู ให้สัมผัสที่ดีในการใช้งาน แต่ผ้าเหล่านั้นเมื่อผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่ง จะเกิดการคลายตัวของเกลียวเส้นดาย จนหลุดและยื่นส่วนปลายออกมา เมื่อมีการเสียดสีจะเกิดเป็นก้อนขนกลมที่ผืนผ้านั้นเอง
สำหรับผ้าที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ เส้นใยสั้น หรือ Spun Yarn เช่น ฝ้าย การเกิด Pilling หรือก้อนขนนี้ ส่วนใหญ่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมักจะหลุดออกไปตามการใช้งาน หรือตอนซักผ้า เป็นต้น แต่ก็จะมีผ้าบางชนิดที่เมื่อเกิด Pilling แล้วจะไม่หลุดไปเอง คือผ้าที่เป็นเส้นใยผสมระหว่างเส้นใยสังเคราะห์ และเส้นใยธรรมชาติ ที่เห็นส่วนใหญ่ คือผ้าที่ผสมระหว่าง Polyester และ Cotton กล่าวคือ เมื่อเส้นใยเริ่มหลุดออก โดยเส้นใยโพลีเอสเตอร์จะมีความคงทนสูง และไม่หลุดออกจากเส้นโดยง่าย มาผสมกับเส้นใยฝ้ายที่หลุดออกมาได้ง่าย ทำให้เกิดการพันกันเป็นก้อน และไม่หลุดออกเองตามธรรมชาติ รวมถึงผ้าที่ทำมากจากเส้นใยสังเคราะห์ทั้งผืนที่ผลิตจากเส้นใยสั้นอีกด้วย
โดยทั่วไปแล้วผ้าที่ไม่ต้องการความคงทนอะไรมากนักอย่างเสื้อผ้า ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้มีการทดสอบ Pilling Resistance ความทนต่อการขึ้นขน/เม็ด

Outdoor Fabrics จากชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้ว ‘ผ้าเอาท์ดอร์’ คือผ้าที่เหมาะสำหรับการใช้งานกลางแจ้ง เช่น ร่มชายหาด, เตียงผ้าใบริมสระว่ายน้ำ หรือเบาะที่นั่งนอกอาคารที่โดนแดด
คุณสมบัติหลักของผ้าเอาท์ดอร์ส่วนใหญ่ คือกผ้าสามารถใช้งานในที่กลางแจ้งได้ มีความคงทนต่อการซีดจางของสี (Color Light Fastness) ที่มักนิยมเรียกกันว่า สีจาง หรือแดดเลีย ส่วนใหญ่ผ้าที่เราเห็นกันในท้องตลาดจะเป็นผ้าจากเส้นใยอะคริลิค (Acrylic) และโอเลฟิน (Olefins) ซึ่งเส้นใยทั้งสองชนิด มักจะเป็นการใส่สีลงไปตั้งแต่ขั้นตอนการฉีดเส้นใย ก่อนการตีเกียวเป็นเส้นด้าย ไม่ได้ผ่านการย้อมสีผ้าแบบปกติที่เราคุ้นเคย ด้วยกระบวนการดังกล่าวจึงทำให้ผ้าทั้งสองชนิดมีความคงทนของสีต่อแสงมาก ไม่ซีดจางเร็ว ซึ่งผ้าทั้งสองตัวนี้มีความแตกต่างกันตรงที่ผ้าที่มาจากโอเลฟิน เป็นโพลิเมอร์ที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ ฉะนั้นจึงไม่สามารถรีดในอุณหภมิสูงได้ แต่มีข้อดีคือน้ำหนักที่เบากว่า และราคาที่ถูกกว่า นอกจากนั้นยังมีเส้นใยจากโพลีเอสเตอร์อีกชนิดหนึ่ง แต่คุณสมบัติด้านการคงทนต่อการซีดจางต่อแสงจะน้อยกว่าเส้นใยทั้งสองที่กล่าวมา เพราะใช้การย้อมสี และการตกแต่งสำเร็จ (Finishing) ในขั้นตอนสุดท้ายใส่สารเพื่อเพิ่มความคงทนต่อแสงเข้าไปในขั้นตอนการผลิต ก็จะได้คุณสมบัตินั้นเช่นกัน แต่จะมีประสิทธิลดลงหลังจากการซัก
ส่วนคุณสมบัติอื่นเพิ่มเติม เช่น การกันน้ำ หรือความจริงต้องเรียกว่า การสะท้อนน้ำ (Water Repellent), ความคงทนของสีจากคลอรีน, การป้องกันเชื้อรา (Anti-fungal), การเช็ดล้างได้ง่าย (Easy Clean) เป็นคุณสมบัติเพิ่มเติมเข้าไปจากคุณสมบัติหลักของผ้าเอาท์ดอร์
วิธีการดูแลรักษาผ้าคือ แม้จะเรียกว่าผ้าเอาท์ดอร์ แต่ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้กลางแจ้ง ขณะฝนตก เนื่องจากผ้าจะมีการตกแต่งพิเศษแบบกันเชื้อราก็ตามแต่วัสดุที่เป็นชั้นใน ไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษใดๆ ซึ่งจะทำให้เกิดเชื้อราสะสมภายใน ลามออกมาถึงผ้าได้ด้วย และเป็นต้นเหตุของกลิ่นอันไม่พึ่งประสงค์นั้นเอง
สัญลักษณ์ OEKO-TEX Standard 100 คือ สัญลักษณ์ที่ให้กับผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ระดับสากล จากสถาบันทดสอบสิ่งทอ (The International Association for Research and Testing in the Field of Textile Ecology : OEKO) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเชื่อมั่น และไว้วางใจ โดยเป็นที่ยอมรับกันระดับสากลว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย สารตกค้างในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เช่น เส้นด้าย หรือผ้า รวมถึงผลิตภัณฑ์สิ่งทอต่างๆ โดยใช้การทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลกสำหรับผลิตภัณฑ์สิ่งทอซึ่งรับประกันว่าปราศจากสารที่เป็นอันตราย เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1992 และตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นหนึ่งในใบรับรองที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมสิ่งทอ การรับรองแบ่งออกเป็นสี่ประเภทผลิตภัณฑ์ ตามวัตถุประสงค์การใช้งานของผลิตภัณฑ์สิ่งทอ และแต่ละประเภทมีเกณฑ์การทดสอบเฉพาะ สี่ประเภทผลิตภัณฑ์คือ
การได้รับการรับรอง OEKO-TEX Standard 100 ผลิตภัณฑ์สิ่งทอต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดโดยห้องปฏิบัติการอิสระที่ได้รับการรับรองโดย OEKO-TEX เกณฑ์การทดสอบได้รับการปรับปรุงทุกปีเพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดและข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ
การรับรอง OEKO-TEX Standard 100 ช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่ซื้อนั้นปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ผลิตสิ่งทอมีความได้เปรียบในการแข่งขันโดยแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืนและแนวทางปฏิบัติในการผลิตที่มีความรับผิดชอบ
ผลิตภัณฑ์จากผืนผ้าในกลุ่มสำหรับตกแต่งที่อยู่อาศัย เช่น พรม, ผ้าม่าน, ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์, ผ้าปูโต๊ะ ฯลฯ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกจัดอยู่ใน Product Class IV : Decoration Material โดยโรงงานผู้ผลิตที่จะได้รับอนุญาตให้ใช้สัญลักษณ์ OEKO-TEX Standard 100 บนผลิตภัณฑ์ได้ ต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด ทั้งในด้านกระบวนการผลิต และทางด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ จึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ปรากฎสัญลักษณ์ OEKO-TEX Standard 100 เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และปลอดภัยจากสารพิษ สำหรับทุกชีวิตที่คุณรัก
คุณสามารถหาผ้าดังกล่าวจากผ้า NITAS TESSILE ได้ง่ายๆ จากการสังเกต
สัญลักษณ์ OEKO-TEX Standard 100 ดังรูปด้านล่างนี้