สี AZO คืออะไร

ความหมายและคุณสมบัติของสาร AZO

สาร AZO (Azo Compounds) เป็นกลุ่มสารเคมีที่มีลักษณะเด่นคือพันธะไนโตรเจนคู่ (N=N) ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างสีสันที่สดใสและคงทนได้ สีย้อมประเภทนี้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เช่น การย้อมผ้าและเส้นด้าย รวมถึงในผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น หมึกพิมพ์ สีทาบ้าน และสารเคลือบที่ต้องการความทนทานต่อสภาพแวดล้อม ข้อดีของสาร AZO คือสามารถผลิตสีได้หลากหลาย เช่น สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน และมีความคงทนต่อการซักล้าง แสงแดด และสารเคมี อย่างไรก็ตาม สาร AZO บางชนิดสามารถปล่อยสารเคมีอันตรายได้เมื่อเกิดการย่อยสลาย หรืออยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น แสง UV หรืออุณหภูมิสูง

ความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

เมื่อสาร AZO แตกตัว อาจปล่อย Primary Aromatic Amines (PAAs) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีวงแหวนเบนซีนและหมู่ฟังก์ชันอะมิโน (-NH₂) ซึ่งบางชนิด เช่น Benzidine, 4-Aminoazobenzene และ 2-Naphthylamine ได้รับการระบุว่าเป็นสารก่อมะเร็งจากองค์กรด้านสุขภาพระดับนานาชาติ หากมีการสัมผัสกับ PAAs เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะผ่านการดูดซึมทางผิวหนังหรือทางเดินหายใจ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และปัญหาทางสุขภาพอื่นๆ นอกจากนี้ สารเหล่านี้ยังสามารถปนเปื้อนลงสู่สิ่งแวดล้อม เช่น แหล่งน้ำและดิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตในระยะยาว เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น หลายประเทศจึงกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย เช่น EN ISO 14362 และ REACH ในสหภาพยุโรป เพื่อควบคุมการใช้สาร AZO ที่มีแนวโน้มเป็นอันตราย

การใช้ AZO ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

  1. การย้อมสีผ้าและเส้นด้าย: สาร AZO เป็นหนึ่งในสารที่นิยมใช้ในการย้อมสีผ้าในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เนื่องจากมีความสามารถในการให้สีที่สดใส คงทน และใช้งานง่าย การย้อมสีด้วย AZO ทำให้ผลิตภัณฑ์สิ่งทอมีสีที่ทนทานต่อแสงและการซัก
  2. สีย้อม AZO: สีย้อม AZO มีความทนทานสูงและสามารถให้สีที่มีความคมชัดและสดใส ทำให้ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เช่น การผลิตเสื้อผ้า, ผ้าปูโต๊ะ, ผ้าม่าน, และสิ่งทออื่นๆ
  3. ประเภทของสีย้อม: สีย้อม AZO ถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น สีย้อม AZO ที่ให้สีแดง, สีเหลือง, สีเขียว และสีอื่นๆ แต่ละชนิดมีคุณสมบัติการย้อมที่แตกต่างกันไป
  4. การใช้ AZO ในการพิมพ์: สาร AZO ยังสามารถใช้ในการพิมพ์ลวดลายบนผ้า เช่น ในการพิมพ์ลายเสื้อหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำจากผ้า

ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ การควบคุมสาร AZO ถือเป็นมาตรการสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม หลายประเทศได้ออกข้อกำหนดทางกฎหมายเพื่อจำกัดหรือห้ามใช้สาร AZO ที่สามารถปล่อย Primary Aromatic Amines (PAAs) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง เช่น เสื้อผ้า เครื่องนอน และสิ่งทอสำหรับเด็ก สหภาพยุโรปกำหนดข้อบังคับผ่านระเบียบ REACH (Regulation on Registration, Evaluation, Authorisation and Restriction of Chemicals) ซึ่งห้ามใช้สีย้อม AZO ที่ปล่อย PAAs เกินค่าที่กำหนด นอกจากนี้ ประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ก็มีมาตรฐานควบคุมที่เข้มงวดเช่นกัน

มาตรฐาน EN ISO 14362 เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ตรวจสอบสิ่งทอว่าปราศจากสาร AZO ที่อาจเป็นอันตราย โดยกระบวนการทดสอบจะวิเคราะห์การแตกตัวของสารเคมีเหล่านี้ในสภาวะที่เลียนแบบการใช้งานจริง เพื่อลดความเสี่ยงต่อผู้บริโภค ผู้ผลิตสิ่งทอจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้ และส่งผลิตภัณฑ์ไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง นอกจากนี้ แนวทางด้านความยั่งยืน เช่น การใช้สีย้อมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาเทคโนโลยีการย้อมสีแบบไม่ใช้สาร AZO ก็กำลังเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรม เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยต่อทั้งมนุษย์และสิ่งแวดล้อม


EN ISO 14362.1-2017 

“Textiles — Methods for the detection of certain aromatic amines derived from AZO colourants — Part 1: Detection of the use of certain AZO colourants accessible to the standard conditions of use”

คือ มาตรฐานที่ใช้ในการตรวจสอบและทดสอบสารเคมีในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ โดยเฉพาะสารในกลุ่ม AZO ที่อาจกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้ มาตรฐานนี้มุ่งเน้นในการตรวจหาสาร Primary aromatic amines (PAAs) ซึ่งอาจเกิดจากการแตกตัวของสาร AZO ในกระบวนการย้อมสีผ้าหรือเส้นด้าย

วัตถุประสงค์

  • การตรวจหาสาร AZO: มาตรฐานนี้ใช้สำหรับการตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์สิ่งทอ (เช่น เสื้อผ้า, ผ้าม่าน, หรือผ้าอื่นๆ) ปราศจากการใช้สาร AZO ที่สามารถแตกตัวเป็นสารก่อมะเร็งได้ สารก่อมะเร็ง เช่น AnilineBenzidine, และ 2-Naphthylamine ที่สามารถพบในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งในผู้บริโภค

วิธีการทดสอบ

  • การเตรียมตัวอย่าง: ในการทดสอบนี้จะใช้ตัวอย่างผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เช่น ผ้า หรือเส้นด้าย เพื่อนำมาทดสอบ
  • การสกัดสาร: สารเคมีจากตัวอย่างสิ่งทอจะถูกสกัดออกมาเพื่อตรวจหา presence ของสาร AZO หรือสารที่อาจกลายเป็นสารก่อมะเร็ง
  • การวิเคราะห์: ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ที่มีความแม่นยำสูง เช่น การใช้ High Performance Liquid Chromatography (HPLC) หรือ Mass Spectrometry (MS) เพื่อหาสาร Primary aromatic amines (PAAs) ที่อาจเกิดจากการแตกตัวของสาร AZO

มาตรฐาน EN ISO 14362-1:2017 กำหนดวิธีการตรวจสอบและขีดจำกัดของสาร AZO ในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ โดยควบคุมไม่ให้มีการปล่อย Primary Aromatic Amines (PAAs)  เพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพและความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง การทดสอบตามมาตรฐานนี้ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถรับรองว่าผลิตภัณฑ์ของตนปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดของตลาดที่เข้มงวด เช่น สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและสนับสนุนแนวทางการผลิตสิ่งทอที่ปลอดภัยและยั่งยืน

ผ้าของนิทัสที่ผ่านการทดสอบ ตามมาตรฐาน EN ISO 14362-1:2017 มีดังนี้

80058 CARL, 80059 ALLAN, 80060 DENTE


OEKO-TEX STANDARD 100 มาตรฐานสากลที่รับรองความปลอดภัยของสิ่งทอและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดขีดจำกัดของสารเคมีอันตราย รวมถึง สาร AZO ที่อาจปล่อย Primary Aromatic Amines (PAAs) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานนี้ต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง เช่น เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน และของใช้สำหรับเด็ก

ผ้าของนิทัสที่ผ่านมาตรฐาน OEKO-TEX STANDARD 100 คลิก


HEAVY METAL ที่ไม่ใช่วงร็อก แต่คือสารโลหะหนักที่มีผลเสียต่อสุขภาพ

เมื่อคุณได้ยินคำว่า “Heavy Metals” สิ่งแรกที่อาจจะนึกถึงคือวงดนตรีร็อกที่มีกีตาร์เสียงดัง ดนตรีหนักแน่น และการแสดงที่เต็มไปด้วยพลัง แต่ในทางวิทยาศาสตร์ “Heavy Metals” ไม่ได้เกี่ยวข้องกับดนตรีเลย! พวกมันคือสารโลหะหนักที่แฝงตัวอยู่รอบตัวเรา และบางครั้งอาจเป็นภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้

Heavy Metals หรือ โลหะหนัก หมายถึง โลหะที่มีความหนาแน่นสูง (มากกว่า 5 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร) มีคุณสมบัติทางเคมีที่หลากหลาย ซึ่งบางชนิดจำเป็นต่อร่างกายในปริมาณที่เหมาะสม แต่ถ้าสะสมเกินไปหรือได้รับในระดับที่เป็นพิษ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

โลหะหนักมาจากไหน?

โลหะหนักสามารถพบได้ในแหล่งธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ เช่น:

  • ธรรมชาติ: ดิน หิน และน้ำใต้ดินที่มีโลหะหนักสะสมอยู่
  • อุตสาหกรรม: การเผาไหม้ถ่านหิน, การผลิตสี, การฟอกหนัง, และการชุบโลหะ
  • ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน: เครื่องสำอาง, สีทาเล็บ, ของเล่นเด็ก, และสิ่งทอ

ผลกระทบของ Heavy Metals ต่อสุขภาพ

โลหะหนักบางชนิดมีผลกระทบต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม ดังนี้:

  • ตะกั่ว (Lead): เป็นพิษต่อระบบประสาท โดยเฉพาะในเด็ก, อาจก่อให้เกิดปัญหาการเรียนรู้และพฤติกรรม
  • ปรอท (Mercury): ทำลายระบบประสาทและสมอง พบได้ในอาหารทะเลที่ปนเปื้อน เช่น ปลาขนาดใหญ่
  • แคดเมียม (Cadmium): เป็นพิษต่อตับและไต สามารถสะสมในกระดูก ทำให้เกิดปัญหากระดูกพรุน
  • โครเมียม (Chromium VI): เป็นสารก่อมะเร็ง อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง

Heavy Metals (โลหะหนัก) ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ มีการใช้งานในบางกระบวนการผลิต และในบางกรณีอาจพบเป็นสารตกค้างในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เนื่องจากสารประกอบโลหะหนักมักถูกใช้ในกระบวนการย้อมสี การฟอก การพิมพ์ลาย และการตกแต่งผ้า โดยโลหะหนักที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสิ่งทอมีทั้งที่ตั้งใจใช้และปนเปื้อนมาในกระบวนการผลิต

โลหะหนักที่พบบ่อยในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

  • ตะกั่ว (Lead, Pb): ใช้ในสีย้อมหรือสารเคลือบบางชนิด ตกค้างจากสารช่วยย้อมสีในกระบวนการผลิต
  • ปรอท (Mercury, Hg): อาจพบในสารช่วยฟอกสีหรือสารเคมีที่ใช้ในการตกแต่งผ้า
  • แคดเมียม (Cadmium, Cd): ใช้ในสีย้อมบางประเภท เช่น สีเหลืองหรือสีแดง พบเป็นสารปนเปื้อนในน้ำเสียจากการผลิต
  • โครเมียม (Chromium, Cr): ใช้ในกระบวนการย้อมผ้าขนสัตว์และผ้าหนัง เช่น การฟอกหนัง
  • ทองแดง (Copper, Cu): ใช้ในสีย้อมชนิดพิเศษ เช่น สีย้อมที่ต้องการความคงทนต่อแสงและน้ำ พบในสีย้อม Reactive และ Vat dyes
  • นิกเกิล (Nickel, Ni): อาจพบในส่วนประกอบของอุปกรณ์ตกแต่ง เช่น กระดุมหรือซิป

ผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

  • สุขภาพมนุษย์: การสัมผัสโลหะหนักผ่านเสื้อผ้าอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง, อาการแพ้, หรือการสะสมในร่างกายหากมีการสัมผัสในระยะยาว โลหะหนักบางชนิด เช่น โครเมียม (VI) หรือปรอท เป็นสารก่อมะเร็งและอันตรายต่อระบบอวัยวะ
  • ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: น้ำเสียจากกระบวนการผลิตสิ่งทออาจมีโลหะหนักปนเปื้อน หากไม่มีการบำบัดที่เหมาะสมจะส่งผลเสียต่อแหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อม การสะสมในดินและแหล่งน้ำอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อาหาร

มาตรฐานการควบคุมโลหะหนักในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

  1. มาตรฐาน Oeko-Tex Standard 100: จำกัดปริมาณโลหะหนักที่สามารถตกค้างในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เช่น ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท และโครเมียม
  2. REACH Regulation (EU): กฎระเบียบของสหภาพยุโรปที่ควบคุมสารเคมีอันตรายในผลิตภัณฑ์ รวมถึงโลหะหนัก
  3. GB/T 17593.2-2007 มาตรฐานจีน (GB/T) ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์โลหะหนักในสิ่งทอ

GB/T 17593.2-2007

เป็นมาตรฐานจีน (GB/T) ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์โลหะหนักในสิ่งทอและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยชื่อเต็มของมาตรฐานนี้คือ: Textiles – Determination of heavy metals – Part 2: Extractable heavy metals (ภาษาจีน: 纺织品 有害重金属的测定 第2部分: 可萃取重金属)

มาตรฐาน GB/T 17593.2-2007

  1. ขอบเขต (Scope): มาตรฐานนี้ใช้สำหรับการตรวจสอบและกำหนดปริมาณ โลหะหนักที่สามารถสกัดได้ (Extractable Heavy Metals) ในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เช่น เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน และวัสดุที่เกี่ยวข้อง
  2. วัตถุประสงค์: ประเมินปริมาณโลหะหนักที่สามารถหลุดออกมาจากสิ่งทอเมื่อสัมผัสกับผิวหนังหรือน้ำ ใช้เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์สิ่งทอปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะเด็กและบุคคลที่มีผิวบอบบาง
  3. โลหะหนักที่ตรวจสอบในมาตรฐานนี้: ตัวอย่างโลหะหนักทั้งหมด 8 ชนิดที่มักจะได้รับการตรวจสอบ ได้แก่:
    • Pb – ตะกั่ว (Lead)
    • Cd – แคดเมียม (Cadmium)
    • Cr – โครเมียม (Chromium)
    • Ni – นิกเกิล (Nickel)
    • Hg – ปรอท (Mercury)
    • As – สารหนู (Arsenic)
    • Co – โคบอลต์ (Cobalt)
    • Sb – พลวง (Antimony)
  4. วิธีการทดสอบ: สกัดโลหะหนักออกจากตัวอย่างสิ่งทอด้วยวิธีทางเคมีใช้สารละลาย จากนั้นใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Atomic Absorption Spectroscopy (AAS) หรือ Inductively Coupled Plasma Mass Spectrometry (ICP-MS) เพื่อวัดปริมาณโลหะหนัก

การนำไปใช้งาน

  • ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ: ใช้สำหรับตรวจสอบผลิตภัณฑ์สิ่งทอก่อนจำหน่าย เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความปลอดภัย เช่น Oeko-Tex, REACH หรือข้อบังคับระดับชาติ
  • สำหรับการส่งออกสินค้า: มาตรฐาน GB/T 17593.2-2007 มีความสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกไปยังประเทศจีน เนื่องจากเป็นข้อกำหนดด้านความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค

GB/T 17593.2-2007 เป็นมาตรฐานที่กำหนดวิธีการทดสอบและวิเคราะห์โลหะหนักในสิ่งทอ โดยเฉพาะโลหะหนักที่สามารถสกัดออกมาได้ เพื่อควบคุมและลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม


“Heavy Metals” ที่ไม่ใช่วงร็อก อาจฟังดูไม่เร้าใจ แต่รู้ไว้จะช่วยให้คุณปลอดภัย!”

ในปัจจุบัน มีการควบคุมการใช้โลหะหนักในอุตสาหกรรมสิ่งทออย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เช่น Oeko-Tex และ REACH เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

แม้โลหะหนักจะมีประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม แต่การได้รับในปริมาณที่เกินมาตรฐานอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ดังนั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ


Formaldehyde คืออะไร

Formaldehyde (ฟอร์มาลดีไฮด์) คือสารเคมีชนิดหนึ่งที่มีสูตรทางเคมีคือ CH₂O หรือเรียกอีกชื่อว่า เมทานัล (Methanal) เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ง่ายที่สุดในกลุ่มอัลดีไฮด์ มีลักษณะเป็น ก๊าซไม่มีสี ที่มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัวและสามารถละลายน้ำได้ดี โดยเมื่อละลายในน้ำมักเรียกว่า ฟอร์มาลิน (Formalin) ซึ่งเป็นสารละลายที่นิยมใช้งานในหลายอุตสาหกรรม

ฟอร์มาลดีไฮด์พบในอุตสาหกรรมใดบ้าง

ฟอร์มาลดีไฮด์ถูกนำมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่

  1. อุตสาหกรรมสิ่งทอและกระดาษ: ใช้ในกระบวนการฟอกย้อมและเพิ่มความคงทนของเนื้อผ้า (ลดการยับย่นของผ้า)
  2. อุตสาหกรรมเคมี: เป็นวัตถุดิบในการผลิตเรซิน เช่น ยูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (UF) และเมลามีนฟอร์มาลดีไฮด์ (MF) สำหรับทำพลาสติกและกาว
  3. อุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์: ใช้ในการผลิตแผ่นไม้ประกอบ (Particle Board, MDF) เพื่อช่วยยึดติดไม้ให้แน่น
  4. การแพทย์และเครื่องสำอาง: ใช้ในฟอร์มาลินสำหรับฆ่าเชื้อโรคและเก็บรักษาตัวอย่างชีวภาพ เช่น เนื้อเยื่อ หรืออวัยวะ
  5. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและน้ำยาฆ่าเชื้อ: ใช้เป็นส่วนผสมในน้ำยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

ฟอร์มาลดีไฮด์กับผลกระทบต่อสุขภาพ

ฟอร์มาลดีไฮด์จัดเป็นสารเคมีที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยมีผลกระทบดังนี้

  • ระยะสั้น (Acute Exposure): ระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ, ดวงตา, จมูก และลำคอ อาจทำให้เกิดอาการไอ คลื่นไส้ หรือปวดศีรษะ
  • ระยะยาว (Chronic Exposure): การสัมผัสในปริมาณมากและต่อเนื่องอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งโพรงจมูกและลำคอ องค์กร IARC (International Agency for Research on Cancer) ได้จัดฟอร์มาลดีไฮด์เป็น สารก่อมะเร็งในมนุษย์ (Group 1 Carcinogen)

การควบคุมและมาตรฐาน

หลายประเทศมีกฎระเบียบควบคุมปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น: สิ่งทอ: ต้องมีปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เช่น <75 ppm สำหรับเสื้อผ้าเด็กในสหภาพยุโรป


ISO 14184-1:2011

Textiles — Determination of formaldehyde — Part 1: Free and hydrolyzed formaldehyde (water extraction method) คือการทดสอบเพื่อวัดปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ในสิ่งทอและสิ่งที่เกี่ยวข้องตามมาตรฐานสากล ISO โดยมีชื่อเต็มของวิธีการทดสอบคือ:

รายละเอียดของวิธีการทดสอบ

  • วัตถุประสงค์: เพื่อวัดปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ที่สามารถปลดปล่อยได้ (Free และ Hydrolyzed Formaldehyde) ในผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่สัมผัสกับน้ำ เช่น เสื้อผ้า ผ้าเฟอร์นิเจอร์ หรือผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่อาจมีผลต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน
  • วิธีการ: ใช้วิธีสกัดด้วยน้ำ (Water Extraction Method) โดยการนำตัวอย่างสิ่งทอมาทำให้สัมผัสกับน้ำกลั่นภายใต้สภาวะที่ควบคุม (เช่น อุณหภูมิและเวลา) จากนั้นทำการวิเคราะห์ปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ที่ปลดปล่อยออกมาในน้ำด้วยวิธีการทางเคมี เช่น Spectrophotometry
  • ความสำคัญของการทดสอบ:
    • เพื่อประเมินความปลอดภัยของสิ่งทอสำหรับผู้บริโภค เนื่องจากฟอร์มาลดีไฮด์อาจเป็นสารก่อระคายเคืองหรือสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูง
    • ใช้เป็นเกณฑ์เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายในหลายประเทศที่กำหนดปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ในสิ่งทอ เช่น EU, USA, และญี่ปุ่น
  • ขอบเขตการใช้งาน: วิธีนี้ใช้สำหรับการวิเคราะห์ฟอร์มาลดีไฮด์ในผ้าหรือผลิตภัณฑ์สิ่งทอสำเร็จรูปที่ผ่านกระบวนการทางเคมี เช่น การฟอกขาว การย้อม หรือการเคลือบผิว

ผ้าของนิทัสที่ผ่านการทดสอบ ตามมาตรฐาน ISO 14184-1:2011 มีดังนี้

80058 CARL, 80059 ALLAN, 80060 DENTE


ผลิตภัณฑ์ผ่านการรับรอง OEKO-TEX STANDARD 100 หมายความว่าสาร formaldehyde อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยตามระดับที่กำหนด หรือไม่มีตกค้างในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยมาตรฐานนี้กำหนดขีดจำกัดที่เข้มงวดสำหรับสารฟอร์มาลดีไฮด์ โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง เช่น เสื้อผ้าเด็กและชุดชั้นใน เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค

ผ้าของนิทัสที่ผ่านมาตรฐาน OEKO-TEX STANDARD 100 คลิก


ABRASION RESISTANCE & SNAGGING RESISTANCE ต่างกันอย่างไร

Snagging Resistance และ Abrasion Resistance เป็นคุณสมบัติสำคัญในการประเมินความทนทานของผ้าหรือวัสดุสิ่งทอ แต่มีจุดประสงค์ วิธีการวัด และความหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

Snagging Resistance ความต้านทานต่อการเกิดการเกี่ยว

หมายถึง ความสามารถของผ้าในการต้านทานการเกิด การเกี่ยวดึง (Snags) ซึ่งเกิดจากด้ายหรือเส้นใยถูกเกี่ยวขึ้นมาจากพื้นผิวของผ้า รอยดึงมักเกิดจากการเสียดสีเฉพาะจุด เช่น การขูดกับวัตถุที่มีขอบแหลม หรือการเกี่ยวติดกับเครื่องประดับ มักใช้ในการทดสอบกับผ้าที่มีความเสี่ยงถูกเกี่ยว เช่น เสื้อผ้าที่ใช้ในงานปาร์ตี้ ผ้าม่าน ผ้าที่บุโซฟา หรือผ้าที่ต้องการความเรียบเนียน เป็นต้น

Abrasion Resistance (ความต้านทานต่อการขัดถู)

หมายถึง ความสามารถของผ้าในการทนต่อ การขัดถู (Abrasion) ที่เกิดจากการเสียดสีซ้ำๆ ระหว่างพื้นผิวของผ้ากับวัตถุอื่น เช่น การใช้งานในระยะยาว เช่น ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า มักใช้ในการทดสอบกับผ้าที่ต้องเผชิญแรงเสียดสีต่อเนื่อง เช่น ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ที่นั่งเสียดสีถูบ่อยครั้ง, เสื้อผ้ากีฬา เป็นต้น

ทั้ง Snagging Resistance และ Abrasion Resistance เป็นการประเมินความทนทานของผ้าต่อการสึกหรอ แต่เกิดจากปัจจัยที่ต่างกัน และใช้เป็นเกณฑ์ในการทดสอบสิ่งทอสำหรับการใช้งานที่ต้องเผชิญกับแรงกระทำภายนอก เช่น ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์

ลักษณะSnagging ResistanceAbrasion Resistance
ลักษณะของแรงกระทำการเกี่ยวหรือดึงเฉพาะจุดการเสียดสีซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง
ผลที่เกิดขึ้นเส้นด้ายหรือเส้นใยถูกดึงขึ้นจากพื้นผิวพื้นผิวสึกหรอ สูญเสียเนื้อผ้า หรือขาด
ประเภทของความเสียหายการเกี่ยวดึง (Snagging)การสึกหรอหรือรอยขาด
ความสำคัญในการใช้งานผ้าบุที่ใช้ตกแต่งที่ต้องการความเรียบเนียน หรือใช้ร่วมกับสัตว์เลี้ยงผ้าบุที่ใช้งานหนัก เช่น โซฟา

วิธีการทดสอบ

Snagging Resistance

การทดสอบ Snagging Resistance มาตรฐานที่ใช้ BS 8479:2008  Textiles – Method for determination of propensity of fabrics to snagging – Rotating chamber method (BS 8479:2008 หมวดสิ่งทอ – วิธีการทดสอบความโน้มเอียงของผ้าต่อการเกิดขุยและรอยเกี่ยว – ด้วยวิธีการห้องหมุน) หรือมาตรฐานอื่นๆ เช่น ASTM D3939 Standard Test Method for Snagging Resistance of Fabrics (Mace)

วิธีการ: Rotating Chamber Method

  1. ตัวอย่างผ้าถูกตัดตามขนาดที่กำหนด
  2. ใส่ตัวอย่างในเครื่องหมุน (Rotating Chamber) ที่มีวัตถุขรุขระเพื่อสร้างการเกี่ยวหรือขูด
  3. หมุนเครื่องที่รอบกำหนด (เช่น 2000 รอบ)
  4. ประเมินรอยดึงที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโดยการให้คะแนน (Grade 1-5)
    • Grade 5: ไม่มีรอยดึง
    • Grade 1: เกิดรอยดึงอย่างรุนแรง
  5. ระบุประเภทของรอยดึง เช่น Snagging (Defect Type A)

อ่านบทความการทดสอบโดยละเอียดไดที่ https://www.nitas-tessile.com/snagging-resistance/

Abrasion Resistance

การทดสอบ Abrasion Resistance มาตรฐานที่ใช้ ISO 12947 Textiles — Determination of the abrasion resistance of fabrics by the Martindale method (ISO 12947 หมวดสิ่งทอ — การทดสอบความต้านทานการขัดถูของผ้าโดยวิธี Martindale)

วิธีการ: Martindale Abrasion Test

  1. ตัดตัวอย่างผ้าตามขนาดที่กำหนด
  2. ติดตั้งตัวอย่างบนเครื่องทดสอบ Martindale
  3. ใช้จานหมุนที่มีน้ำหนักกดลงบนผ้าในลักษณะวงกลมซ้ำๆ
  4. วัดจำนวนรอบที่ทำให้ผ้าสึกจนเสียหาย หรือจนผิวผ้าเริ่มหลุดลอก
  5. ผลลัพธ์มักระบุเป็น จำนวนรอบ (cycles) เช่น 10,000 cycles หมายถึงผ้าทนต่อการขัดถูได้ 10,000 รอบก่อนจะเสียหาย

สรุป

  • Snagging Resistance เน้นวัดความสามารถในการต้านทานการเกี่ยวหรือดึงเส้นด้ายบนพื้นผิว
  • Abrasion Resistance เน้นวัดความสามารถในการต้านทานการขัดถูหรือการสึกของผ้า

ถ้าคุณตามหาผ้าที่มีคุณบัติ Snagging Resistance สำหรับบุโซฟาเพื่อสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก อยู่ร่วมกับเฟอร์นิเจอร์หรือโซฟาตัวโปรดของคุณได้ นิทัสเราแนะนำผ้า 2 ตัวนี้ 30054 MACHU PICCHU, 30055 SERENGETI อ่านเนื้อหาว่าทำไมผ้าสองตัวนี้ถึงมีคุณสมบัติ และแนะนำสำหรับคุณเลี้ยงสัตว์ ได้ที่นี้


Snagging Resistance คืออะไร

ความทนทานต่อการขีดข่วน (Snagging Resistance)

ความทนทานต่อการขีดข่วน (Snagging Resistance) ผ้าต้องทนต่อการขีดข่วนจากเล็บหรือกรงเล็บของสัตว์เลี้ยง อ้างอิงการทดสอบมาตรฐาน BS 8479:2008 Textiles – Method for determination of propensity of fabrics to snagging – Rotating chamber method

BS 8479:2008 เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบความต้านทานของผ้าต่อการเกิด “Snagging” (การเกี่ยวหรือการดึงผิวของผ้า) โดยใช้ “Rotating Chamber Method” หรือวิธีการทดสอบในห้องหมุน ซึ่งทดสอบผ้าโดยจำลองสถานการณ์ที่วัสดุมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเกี่ยวหรือการดึงผ้า

BS 8479:2008: มาตรฐานนี้เน้นการทดสอบความทนทานของผ้าต่อการขีดข่วนและการเสียดสี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณาผ้าสำหรับสัตว์เลี้ยง หากผ้าผ่านมาตรฐานนี้จะหมายถึงผ้าสามารถทนต่อการเกี่ยวขีดข่วนได้ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของผ้า Pet-Lover ของนิทัส

Snagging Resistance

Snagging resistance refers to a fabric’s ability to withstand pulling or scratching, such as from fingernails or pet claws. This is evaluated according to the BS 8479:2008 standard: Textiles – Method for determination of propensity of fabrics to snagging – Rotating chamber method.

BS 8479:2008 is a testing method used to assess how prone a fabric is to snagging. It utilizes a rotating chamber to simulate real-life conditions where the fabric may be subjected to pulling or abrasion.

This standard focuses on a fabric’s durability against snagging and abrasion—critical factors when selecting textiles suitable for households with pets. Fabrics that pass this standard demonstrate excellent resistance to snagging, making them ideal for use in Pet-Lover collections by Nitas.

อ้างอิงการทดสอบกับการเกี่ยวของเล็บสัตว์เลี้ยง

การทดสอบตามมาตรฐาน BS 8479:2008 สามารถอ้างอิงการเกี่ยวของเล็บสัตว์เลี้ยงได้ ในแง่ของการจำลองการเกี่ยวดึงผิวผ้า แต่ไม่ใช่การเลียนแบบการข่วนของเล็บโดยตรง เนื่องจากการทดสอบในห้องหมุนเน้นการสร้างแรงเสียดสีและแรงดึงในระดับทั่วไปเพื่อดูผลการเกี่ยวที่เกิดขึ้น

The BS 8479:2008 test can be referenced when evaluating fabric resistance to pet claw snags, as it simulates general snagging and pulling forces on fabric surfaces. However, it does not directly replicate claw scratching. The rotating chamber method focuses on creating general abrasion and pulling actions to assess the fabric’s tendency to snag, rather than mimicking the specific motion or force of clawing.

เล็บของสัตว์เลี้ยง เช่น แมวหรือสุนัข อาจสร้างแรงเฉพาะทางที่ต่างจากการทดสอบนี้ เนื่องจากเล็บสัตว์มีความแหลมคมและการข่วนมักมีความรุนแรงกว่าการเกี่ยวทั่วไปในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม การทดสอบนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องชี้วัดเบื้องต้นของความทนทานต่อการข่วนหรือการเกี่ยวที่เกิดจากเล็บสัตว์ได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผ้าถูกสัมผัสซ้ำๆ กับแรงเสียดสี

Pet claws—such as those of cats or dogs—can exert more specific and intense forces compared to the conditions simulated in this test. Their claws are sharp, and scratching actions tend to be more aggressive than everyday snagging. However, the test still serves as a preliminary indicator of a fabric’s resistance to clawing or snagging, especially in cases where the fabric is repeatedly exposed to friction or contact.

หลักการทดสอบ

เครื่องมือที่ใช้: ผ้าจะถูกนำไปใส่ในห้องทดสอบหมุน (Rotating Chamber) ซึ่งมีปุ่มหรือสิ่งกีดขวางที่ทำหน้าที่เลียนแบบการเกี่ยวดึงบนพื้นผิวผ้า

Testing Principle

Equipment Used: The fabric is placed inside a rotating chamber equipped with protrusions or obstacles that simulate snagging or pulling actions on the fabric surface.

วิธีการทดสอบ

  1. ตัวอย่างผ้าจะถูกใส่ลงในห้องหมุนที่มีอุปกรณ์ที่สามารถสร้างแรงดึงและการเกี่ยวบนผิวผ้า
  2. ห้องจะหมุนในอัตราความเร็วที่กำหนดและความถี่การหมุนตามมาตรฐาน ซึ่งผ้าจะถูกเสียดสีกับอุปกรณ์อย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาที่กำหนด
  3. หลังจากการทดสอบเสร็จสิ้น ผ้าจะถูกนำออกมาเพื่อตรวจสอบการเกิดการเกี่ยวและความเสียหายที่เกิดขึ้น

Testing Method

  • The fabric sample is placed inside a rotating chamber equipped with devices that create pulling and snagging forces on the fabric surface.
  • The chamber rotates at a specified speed and frequency according to the standard. During this time, the fabric is continuously subjected to abrasion and snagging for a defined duration.
  • After the test is complete, the fabric is removed and examined for snags and any visible damage.
หน้าตาของเครื่องทดสอบ PILLING & SNAGGING TESTER
ภายในกล่องทดสอบทรงปริซึม 8 เหลี่ยม จะประกอบด้วยชิ้นผ้าตัวอย่างที่พับแกนทรงกระบอก และเหล็กแหลมวางเป็นแถวยาว ทั้งหมด 4 ด้านจากกล่องทดสอบ
Inside the octagonal prism-shaped test chamber, the setup includes fabric samples wrapped around cylindrical cores, along with rows of sharp metal pins positioned along four sides of the chamber interior.

หลักการทดสอบผ้าจะถูกนำไปใส่ในห้องทดสอบหมุน (Rotating Chamber) ภายในกล่องทดสอบ จะประกอบด้วยชิ้นผ้าตัวอย่างที่พับแกนทรงกระบอก และในกล่องทดสอบจะมีเหล็กแหลมทั้งหมด 20 เล็ม วางเป็นแถวยาว ทั้งหมด 4 ด้านจากกล่องทดสอบ ปริซึม 8 เหลี่ยม ซึ่งสิ่งนี้เป็นการทำหน้าที่เลียนแบบการเกี่ยวดึงบนพื้นผิวผ้า โดยการทดสอบจะหมุนในอัตรา 60 รอบ ต่อ นาที โดยหมุนทั้งหมด 2,000 รอบ หลังจากการทดสอบเสร็จสิ้น ผ้าจะถูกนำออกมาเพื่อตรวจสอบการเกิดการเกี่ยวและความเสียหายที่เกิดขึ้น

Testing Principle

The fabric is placed inside a rotating chamber. Inside the octagonal prism-shaped test box, the setup includes fabric samples wrapped around cylindrical cores. The chamber contains a total of 20 sharp metal pins, arranged in long rows along 4 of the 8 interior sides. These pins simulate snagging and pulling on the fabric surface.

The chamber rotates at a speed of 60 revolutions per minute, completing a total of 2,000 revolutions. After the test is completed, the fabric is removed and examined for any snags or surface damage.

ตัวอย่างผลการทดสอบ ผ้ารหัส 30054 MACHU PICCHU 

ตัวอย่างผลการทดสอบ ผ้ารหัส 30055 SERENGETI

เกณฑ์การให้คะแนน (Snagging Scale)

ตารางที่ 1 การจัดเกรด
Table 1: Grading System 

Grade
เกรด
Description
คำอธิบาย
Appearance
ลักษณะที่ปรากฏ
5None
ไม่มี
No snags or other surface defects
ไม่เกิดการเกี่ยว หรือไม่พบข้อบกพร่องของพื้นผิวเลย
4Slight
เล็กน้อย
Snags or other surface defects in isolated areas
เกิดการเกี่ยวบนผิวผ้าขึ้นเล็กน้อย หรือมีข้อบกพร่องของพื้นผิวขึ้นเล็กน้อย
3Moderate
ปานกลาง
Snags or other surface defects partially covering the surface
เกิดการเกี่ยวบนผิวผ้า หรือพบข้อบกพร่องของพื้นผิว ครอบคลุมพื้นที่บางส่วน
2Distinct
เด่นชัด
Snags or other surface defects covering a large proportion of the surface
เกิดการเกี่ยวบนผิวผ้า หรือข้อบกพร่องของพื้นผิว ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่
1Severe
รุนแรง
Snags or other surface defects covering the entire surface
เกิดการเกี่ยวผิวผ้า หรือข้อบกพร่องของพื้นผิว ครอบคลุมทั้งหมด

ในการทดสอบ ถ้าได้เกรด 5 แปลว่าไม่มีการเกี่ยวของพิ้นผิวเลย แต่ถ้าผลทดสอบได้เกรดต่ำกว่านั้น ต้องมาเปรียบเทียบลักษณะการเกี่ยวตามตารางข้างล่างนี้

In the test, a Grade 5 indicates that there is no snagging on the fabric surface. However, if the result is lower than Grade 5, the snagging must be evaluated by comparing the fabric’s appearance to the reference images or descriptions in the table below.

ตารางที่ 2 การจำแนกข้อบกพร่องของพื้นผิว
Table 2: Surface Defect Classification 

Defect TypeDefect description
คำอธิบายข้อบกพร่อง
ASnagging “สแนก-กิ้ง”
เกิดการเกี่ยว เป็นลักษณะห่วงของเส้นใยบนพื้นผิว
BProtrusions  “โพร-ทรู-ชันส์
เกิดการเกี่ยวโดยมีเส้นด้สยหรือเส้นใยยื่นออกมาบนผิวผ้าอย่างเด่นชัด
CIndentations  “อิน-เดน-เท-ชันส์”
เกิดการเกี่ยวทำให้ลักษณะผิวผ้าเป็นรู และทำให้ผิวมีการบิดเบี้ยว
DShiners, pulled threads or other distortions of the fabric structure, occurring in close proximity to snag loops and/or not associated with any snag loop
เกิดการเกี่ยวที่ทำเส้นด้ายถูกดึง สร้างความบิดเบี้ยวให้เห็นตลอดแนวโครงสร้างผ้า
EVisible defects due to colour contrasts in printed fabrics, colour woven, or colour knitted fabrics.
พบข้อบกพร่องในความแตกต่างของสีผ้า ที่มองเห็นได้ ในผ้าพิมพ์, ผ้าทอและผ้าถักที่มีสีสัน
FFilamentation  “ฟิ-ลา-เมน-เท-ชัน”
เกิดการเกี่ยวเส้นใยอย่างรุนแรงจนทำให้เส้นใยขาด ขึ้นแป็นขนบนพื้นผิวผ้า
GAny other defects specific to the fabric type and which detract from the original surface appearance. A description shall be included in the test report
เกิดข้อบกพร่องอื่นๆ ที่เฉพาะเจาะจง ของแต่ละประเภทของผ้า และที่ทำให้สูญเสียลักษณะผิวเดิม รายละเอียดควรถูกรวมไว้ในรายงานการทดสอบ
Xไม่มีข้อบกพร่องของพื้นผิวที่มองเห็นได้

แปลผลการทดสอบที่ได้ ตามมาตรฐาน BS 8479:2008 

  • ตัวอย่างทดสอบ Warp (ด้ายยืน) และ Weft (ด้ายพุ่ง) หลังจากหมุน 2000 รอบ
    • Warp 1 และ Warp 2: คะแนน 4-5, Defect Type = A (Snagging), จำนวนการเกิด Snags: 1-2
    • Weft 1 และ Weft 2: คะแนน 4-5, Defect Type = A, จำนวน Snags: 4-5
    • ค่าเฉลี่ยรวม: Mean of Four Specimens = 4-5

Defect Type = A แปลว่าเกิดการดึงด้ายหรือการเกิดรอย (Snagging) บนผิวผ้า

แปลผลค่าคะแนน (Grading System)

  • Grade 5: ไม่มีรอยดึง หรือข้อบกพร่องใดๆ
  • Grade 4: รอยดึงหรือข้อบกพร่องเกิดขึ้นเฉพาะจุดเล็กๆ บนพื้นผ้า

ดังนั้น การให้คะแนน 4-5 หมายความว่า ตัวอย่างผ้ามีคุณภาพดีมาก มีเพียง ข้อบกพร่องเล็กน้อย หรืออาจไม่มีเลยในบางส่วน

การวิเคราะห์ผล

  • Warp (แนวยืน): คะแนน 4-5 และจำนวน Snags ต่ำมาก (1-2 จุด) แสดงให้เห็นว่าผ้ามีความต้านทานต่อการเกิด Snagging ได้ดีในทิศทางนี้
  • Weft (แนวนอน): คะแนน 4-5 แต่จำนวน Snags สูงกว่า (4-5 จุด) แสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มเกิดการดึงด้ายมากกว่าในแนวนอน
  • Mean Grade: ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5 ซึ่งถือว่าผ้าทดสอบผ่านเกณฑ์ในระดับคุณภาพดีเยี่ยม

สรุปผลการทดสอบ

ผ้าทั้งสองตัว 30054 MACHU PICCHU, 30055 SERENGETI

  • Grade 4-5: สะท้อนว่าผ้าผ่านมาตรฐานและมีคุณภาพดี
  • Defect Type A: ระบุข้อบกพร่องที่เกิดจากการดึงด้าย (Snagging) ซึ่งเป็นลักษณะปกติในการทดสอบชนิดนี้

Test Result Interpretation According to BS 8479:2008

Test Samples – Warp (Vertical yarn) and Weft (Horizontal yarn) after 2,000 revolutions:

  • Warp 1 & Warp 2: Score 4–5, Defect Type = A (Snagging), Number of snags: 1–2
  • Weft 1 & Weft 2: Score 4–5, Defect Type = A, Number of snags: 4–5
  • Overall Average (Mean of Four Specimens)4–5

Defect Type A indicates yarn pulls or surface snags (snagging) on the fabric.

Grading Interpretation:

  • Grade 5: No snags or visible defects
  • Grade 4: Minor snags or defects in small, localized areas

Thus, a score of 4–5 indicates that the fabric is of very high quality, with only slight or no defects in some areas.

Result Analysis:

  • Warp (vertical direction): Score of 4–5 and very few snags (1–2 points) indicate excellent resistance to snagging in this direction.
  • Weft (horizontal direction): Same score, but with more snags (4–5 points), indicating a slightly higher tendency for snagging in the horizontal direction.

Mean Grade: 4–5, which is considered excellent performance and passes quality criteria.

Test Summary:

  • Fabric samples: 30054 MACHU PICCHU and 30055 SERENGETI
  • Grade 4–5: Indicates that the fabrics meet the standard and are of high quality.
  • Defect Type A: Refers to typical snagging or yarn pulls, which are expected in this type of test.

สามารถดูเล่มตัวอย่างได้ที่ https://www.nitas-tessile.com/meawww-collection/


ตัวอย่างวีดีโอของแล็บการทดสอบของต่างประเทศที่ทดสอบ มาตรฐาน BS 8479:2008


ความแตกต่างของ PILLING & SNAGGING

PILLING

การพิลลิ่ง (Pilling) คือการเกิดก้อนเล็ก ๆ ของเส้นใยที่พันกันบนพื้นผิวของผ้า ซึ่งเป็นผลจากการเสียดสีและการใช้งานที่ทำให้เส้นใยผ้าบนพื้นผิวหลุดออกมาแล้วพันกันจนเกิดเป็นก้อนเล็ก ๆ การพิลลิ่งส่งผลให้ผ้าดูเก่าและไม่สวยงาม ทำให้ผู้บริโภคมองว่าเป็นการเสื่อมสภาพของผ้า

สาเหตุของการพิลลิ่ง

  • ประเภทของเส้นใย: เส้นใยสังเคราะห์ (เช่น โพลีเอสเตอร์และไนลอน) มีแนวโน้มที่จะเกิดพิลลิ่งมากกว่าเส้นใยธรรมชาติ เนื่องจากความแข็งแรงของเส้นใยที่ไม่หลุดออกง่ายเมื่อถูกเสียดสี
  • การเสียดสี: การถูหรือเสียดสี เช่น จากการซักหรือการใช้งานทั่วไป ทำให้เส้นใยบนผิวผ้าหลุดออกมาและพันกันเป็นก้อน
  • การปั่นด้ายและการทอผ้า: ลักษณะของการปั่นด้ายและการทอที่หลวมสามารถทำให้เส้นใยหลุดออกจากผ้าสะดวกขึ้นและเกิดการพิลลิ่งได้ง่าย

วิธีการป้องกันและแก้ไขการพิลลิ่ง

  • การเลือกเส้นใยที่เหมาะสม: การใช้เส้นใยธรรมชาติ เช่น ฝ้าย หรือเส้นใยผสมที่มีความยาวและแข็งแรง จะช่วยลดการเกิดพิลลิ่งได้
  • การออกแบบผ้า: การปั่นเส้นด้ายที่แน่นและการทอที่หนาแน่นขึ้นสามารถลดโอกาสการเกิดพิลลิ่งได้
  • การดูแลรักษาผ้า: การซักผ้าอย่างระมัดระวัง เช่น การใช้ถุงซักผ้า หรือลดความถี่ในการซัก จะช่วยลดการเสียดสีและการพิลลิ่ง
  • การกำจัดพิลลิ่ง: การใช้เครื่องกำจัดพิลลิ่ง (Pilling Remover) สามารถใช้ลบก้อนพิลลิ่งที่เกิดขึ้นบนผ้าได้

การพิลลิ่งเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในผ้าหลายชนิด แต่สามารถลดหรือแก้ไขได้ด้วยการเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมและดูแลรักษาผ้าอย่างถูกวิธี


SNAGGING

การขีดข่วนหรือการเกี่ยวดึง (Snagging) หมายถึงความเสียหายที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวของผ้า เช่น การเกิดห่วงหรือการขาดเส้นด้าย ซึ่งทำให้เกิดรอยหรือการพันกันของเส้นใย โดยปกติแล้วมักเกิดจากการที่ผ้าไปติดกับวัตถุมีคมหรือแข็ง เช่น เล็บหรือกรงเล็บของสัตว์เลี้ยงอย่างแมว การขีดข่วนจากแมวถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้ผ้าถูกดึงจนเกิดห่วงหรือความเสียหายบนพื้นผิวผ้าได้อย่างชัดเจน

สาเหตุของการขีดข่วน

1. การเสียดสีจากวัตถุแหลมคม: เล็บหรือกรงเล็บของสัตว์ เช่น แมว หรือการไปเกี่ยวกับสิ่งของมีคม สามารถทำให้เส้นด้ายในผ้าขาดหรือหลุดออก ทำให้เกิดห่วงหรือความเสียหายที่พื้นผิว

2. การเลือกวัสดุที่ไม่ทนต่อการขีดข่วน: ผ้าที่มีเส้นใยยาวหรือไม่ทนทาน เช่น ผ้าถักบางชนิด มีแนวโน้มที่จะเกิดการขีดข่วนได้ง่ายกว่าผ้าที่มีการทอแน่นหรือใช้เส้นใยที่แข็งแรง

3. การใช้ผ้าที่สัมผัสกับวัตถุที่แข็งบ่อยๆ: ผ้าที่ถูกใช้งานอย่างหนัก เช่น ผ้าบนโซฟา หรือที่นอนสัตว์เลี้ยง อาจเกิดการขีดข่วนได้ง่ายจากการสัมผัสซ้ำๆ

วิธีการป้องกันและแก้ไขการขีดข่วน

1. การเลือกใช้ผ้าที่ทนทาน: การเลือกผ้าที่มีความทนทาน เช่น ผ้าโพลีเอสเตอร์หรือผ้าหนังสังเคราะห์ ที่มีความทนต่อการขีดข่วนได้มากกว่าผ้าถักหรือผ้าเส้นใยธรรมชาติที่บอบบาง

2. ป้องกันสัตว์เลี้ยงจากการข่วน: การตัดเล็บสัตว์เลี้ยงหรือฝึกให้สัตว์เลี้ยงใช้ที่ลับเล็บสามารถช่วยลดโอกาสการขีดข่วนผ้าได้

3. การซ่อมแซมผ้า: หากเกิดการขีดข่วนแล้ว การใช้เครื่องมือพิเศษหรือมือในการดึงเส้นด้ายกลับเข้าที่ หรือการซ่อมแซมผ้าด้วยการเย็บจะช่วยแก้ไขปัญหาได้

4. การใช้อุปกรณ์เสริม: สามารถใช้ผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์หรือตัวป้องกันการขีดข่วน เช่น แผ่นป้องกันที่ทำจากวัสดุแข็งหรือแผ่นยาง เพื่อลดโอกาสที่ผ้าจะถูกขีดข่วน

การขีดข่วนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อมีสัตว์เลี้ยงในบ้าน แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการเลือกใช้วัสดุที่ทนทานและการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างเหมาะสม

ถ้าคุณตามหาผ้าที่มีคุณบัติ Snagging Resistance สำหรับบุโซฟาเพื่อสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก อยู่ร่วมกับเฟอร์นิเจอร์หรือโซฟาตัวโปรดของคุณได้ นิทัสเราแนะนำผ้า 2 ตัวนี้ 30054 MACHU PICCHU, 30055 SERENGETI อ่านเนื้อหาว่าทำไมผ้าสองตัวนี้ถึงมีคุณสมบัติ และแนะนำสำหรับคุณเลี้ยงสัตว์ ได้ที่นี้


PET-LOVER FABRICS ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง

ผ้า Pet-Friendly ในที่นี้เราจะใช้ความว่า ผ้า Pet-Lover หมายถึงผ้าที่ออกแบบมาเพื่อทนทานต่อการใช้งานร่วมกับสัตว์เลี้ยง เช่น แมวและสุนัข โดยเน้นความแข็งแรง ทนต่อการขีดข่วน การเสียดสี และทนทานต่อคราบสกปรกหรือขนสัตว์ ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง คุณสมบัติสำคัญของผ้า Pet-Lover ได้แก่:

  • ความทนทานต่อการขีดข่วน (Snagging Resistance): ผ้าต้องทนต่อการขีดข่วนจากเล็บหรือกรงเล็บของสัตว์เลี้ยง
  • ทนต่อคราบและทำความสะอาดง่าย (Stain Resistance): ผ้าที่สามารถทำความสะอาดได้ง่าย ไม่เก็บคราบหรือสิ่งสกปรก เช่น ผ้าที่เคลือบสารสะท้อนน้ำ Water Repellent ช่วยให้ผ้าที่สามารถกันน้ำหรือของเหลวได้ดีจะช่วยลดคราบจากการหกหรืออุบัติเหตุของสัตว์เลี้ยง
  • ทนทานต่อการสะสมขนสัตว์ (Low Hair Retention): ผ้าที่ไม่ดึงดูดหรือเก็บขนสัตว์ได้ง่าย ซึ่งช่วยลดปัญหาการสะสมของขนบนเฟอร์นิเจอร์
  • ทนต่อการสึกหรอ (Durability) ผ้าที่แข็งแรงและทนทาน ไม่ฉีกขาดหรือเสื่อมสภาพง่ายจากการใช้งานหนัก ทดสอบด้วยค่า ความทนทานต่อการขัดถู (Abrasion Resistance ผ้าต้องทนทานต่อการใช้งานหนัก ซึ่งการทดสอบ Martindale ที่ได้ผลมากกว่า 35,000 รอบ ก็ถือว่าสามารถใช้ในพื้นที่สาธารณะได้ บ่งบอกว่าผ้ามีความทนทานสูง
  • ความปลอดภัยสำหรับสัตว์เลี้ยง (Non-Toxic): ผ้าควรปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง

แล้วผ้านิทัสมีรหัสใดบ้าง

30054 MACHU PICCHU
30055 SERENGETI

ความทนทานต่อการขีดข่วน (Snagging Resistance)

ความทนทานต่อการขีดข่วน (Snagging Resistance) ผ้าต้องทนต่อการขีดข่วนจากเล็บหรือกรงเล็บของสัตว์เลี้ยง นิทัสเราอ้างอิงการทดสอบมาตรฐาน BS 8479:2008 Textiles – Method for determination of propensity of fabrics to snagging – Rotating chamber method

BS 8479:2008 เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบความต้านทานของผ้าต่อการเกิด “Snagging” (การเกี่ยวหรือการดึงผิวของผ้า) โดยใช้ “Rotating Chamber Method” หรือวิธีการทดสอบในห้องหมุน ซึ่งทดสอบผ้าโดยจำลองสถานการณ์ที่วัสดุมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเกี่ยวหรือการดึงผ้า

BS 8479:2008: มาตรฐานนี้เน้นการทดสอบความทนทานของผ้าต่อการขีดข่วนและการเสียดสี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณาผ้าสำหรับสัตว์เลี้ยง หากผ้าผ่านมาตรฐานนี้จะหมายถึงผ้าสามารถทนต่อการเกี่ยวขีดข่วนได้ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของผ้า Pet-Lover

อ้างอิงการทดสอบกับการเกี่ยวของเล็บสัตว์เลี้ยง

การทดสอบตามมาตรฐาน BS 8479:2008 สามารถอ้างอิงการเกี่ยวของเล็บสัตว์เลี้ยงได้ ในแง่ของการจำลองการเกี่ยวดึงผิวผ้า แต่ไม่ใช่การเลียนแบบการข่วนของเล็บโดยตรง เนื่องจากการทดสอบในห้องหมุนเน้นการสร้างแรงเสียดสีและแรงดึงในระดับทั่วไปเพื่อดูผลการเกี่ยวที่เกิดขึ้น

เล็บของสัตว์เลี้ยง เช่น แมวหรือสุนัข อาจสร้างแรงเฉพาะทางที่ต่างจากการทดสอบนี้ เนื่องจากเล็บสัตว์มีความแหลมคมและการข่วนมักมีความรุนแรงกว่าการเกี่ยวทั่วไปในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม การทดสอบนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องชี้วัดเบื้องต้นของความทนทานต่อการข่วนหรือการเกี่ยวที่เกิดจากเล็บสัตว์ได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผ้าถูกสัมผัสซ้ำๆ กับแรงเสียดสี

หลักการทดสอบ

เครื่องมือที่ใช้: ผ้าจะถูกนำไปใส่ในห้องทดสอบหมุน (Rotating Chamber) ซึ่งมีปุ่มหรือสิ่งกีดขวางที่ทำหน้าที่เลียนแบบการเกี่ยวดึงบนพื้นผิวผ้า

วิธีการทดสอบ

  1. ตัวอย่างผ้าจะถูกใส่ลงในห้องหมุนที่มีอุปกรณ์ที่สามารถสร้างแรงดึงและการเกี่ยวบนผิวผ้า
  2. ห้องจะหมุนในอัตราความเร็วที่กำหนดและความถี่การหมุนตามมาตรฐาน ซึ่งผ้าจะถูกเสียดสีกับอุปกรณ์อย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาที่กำหนด
  3. หลังจากการทดสอบเสร็จสิ้น ผ้าจะถูกนำออกมาเพื่อตรวจสอบการเกิดการเกี่ยวและความเสียหายที่เกิดขึ้น
หน้าตาของเครื่องทดสอบ PILLING & SNAGGING TESTER
ภายในกล่องทดสอบ จะประกอบด้วยชิ้นผ้าตัวอย่างที่พับแกนทรงกระบอก และสังเกตุว่าในกล่องทดสอบจะมีเหล็กแหลมวางเป็นแถวยาว ทั้งหมด 4 ด้านจากกล่องทดสอบ ปริซึม 8 เหลี่ยม โดยการทดสอบจะหมุนในอัตรา 60รอบ ต่อ นาที โดยหมุนทั้งหมด 2000 รอบ

ผลการทดสอบ ผ้ารหัส 30054 MACHU PICCHU 

ผลการทดสอบ ผ้ารหัส 30055 SERENGETI

เกณฑ์การให้คะแนน (Snagging Scale)

ตารางที่ 1 การจัดเกรด

Grade
เกรด
Description
คำอธิบาย
Appearance
ลักษณะที่ปรากฏ
5None
ไม่มี
No snags or other surface defects
ไม่เกิดการเกี่ยว หรือไม่พบข้อบกพร่องของพื้นผิวเลย
4Slight
เล็กน้อย
Snags or other surface defects in isolated areas
เกิดการเกี่ยวบนผิวผ้าขึ้นเล็กน้อย หรือมีข้อบกพร่องของพื้นผิวขึ้นเล็กน้อย
3Moderate
ปานกลาง
Snags or other surface defects partially covering the surface
เกิดการเกี่ยวบนผิวผ้า หรือพบข้อบกพร่องของพื้นผิว ครอบคลุมพื้นที่บางส่วน
2Distinct
เด่นชัด
Snags or other surface defects covering a large proportion of the surface
เกิดการเกี่ยวบนผิวผ้า หรือข้อบกพร่องของพื้นผิว ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่
1Severe
รุนแรง
Snags or other surface defects covering the entire surface
เกิดการเกี่ยวผิวผ้า หรือข้อบกพร่องของพื้นผิว ครอบคลุมทั้งหมด

ในการทดสอบ ถ้าได้เกรด 5 แปลว่าไม่มีการเกี่ยวของพิ้นผิวเลย แต่ถ้าผลทดสอบได้เกรดต่ำกว่านั้น ต้องมาเปรียบเทียบลักษณะการเกี่ยวตามตารางข้างล่างนี้

ตารางที่ 2 การจำแนกข้อบกพร่องของพื้นผิว

ประเภทข้อบกพร่องDefect description
คำอธิบายข้อบกพร่อง
ASnagging “สแนก-กิ้ง”
เกิดการเกี่ยว เป็นลักษณะห่วงของเส้นใยบนพื้นผิว
BProtrusions  “โพร-ทรู-ชันส์
เกิดการเกี่ยวโดยมีเส้นด้สยหรือเส้นใยยื่นออกมาบนผิวผ้าอย่างเด่นชัด
CIndentations  “อิน-เดน-เท-ชันส์”
เกิดการเกี่ยวทำให้ลักษณะผิวผ้าเป็นรู และทำให้ผิวมีการบิดเบี้ยว
DShiners, pulled threads or other distortions of the fabric structure, occurring in close proximity to snag loops and/or not associated with any snag loop
เกิดการเกี่ยวที่ทำเส้นด้ายถูกดึง สร้างความบิดเบี้ยวให้เห็นตลอดแนวโครงสร้างผ้า
EVisible defects due to colour contrasts in printed fabrics, colour woven, or colour knitted fabrics.
พบข้อบกพร่องในความแตกต่างของสีผ้า ที่มองเห็นได้ ในผ้าพิมพ์, ผ้าทอและผ้าถักที่มีสีสัน
FFilamentation  “ฟิ-ลา-เมน-เท-ชัน”
เกิดการเกี่ยวเส้นใยอย่างรุนแรงจนทำให้เส้นใยขาด ขึ้นแป็นขนบนพื้นผิวผ้า
GAny other defects specific to the fabric type and which detract from the original surface appearance. A description shall be included in the test report
เกิดข้อบกพร่องอื่นๆ ที่เฉพาะเจาะจง ของแต่ละประเภทของผ้า และที่ทำให้สูญเสียลักษณะผิวเดิม รายละเอียดควรถูกรวมไว้ในรายงานการทดสอบ
Xไม่มีข้อบกพร่องของพื้นผิวที่มองเห็นได้

ตัวอย่างวีดีโอของแล็บการทดสอบของต่างประเทศที่ทดสอบ มาตรฐาน BS 8479:2008


ความปลอดภัยสำหรับสัตว์เลี้ยง (Non-Toxic): ผ้าควรปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง

ความปลอดภัยสำหรับสัตว์เลี้ยง (Non-Toxic): ผ้าควรปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง ด้วยมาตรฐาน OEKO-TEX Standard 100: มาตรฐานนี้รับรองว่าผ้าไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ผ้าที่ผ่านมาตรฐานนี้จะปลอดภัยต่อการสัมผัสและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ จึงเหมาะสำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง ซึ่งแน่นอนว่า ผ้า 30054 MACHU PICCHU, 30055 SERENGETI ของนิทัสได้รับมาตารฐาน นี้ด้วยเช่นกัน

อ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง OEKO-TEX Standard 100 คลิ๊ก


ทนต่อคราบและทำความสะอาดง่าย (Stain Resistance): ผ้าที่สามารถทำความสะอาดได้ง่าย ไม่เก็บคราบหรือสิ่งสกปรก

WATER REPELLENT

ผ้านิทัสทั้งสองตัวนี้ 30054 MACHU PICCHU และ 30055 SERENGETI มีการเคลือบสารสะท้อนน้ำ Water Repellent ช่วยให้ผ้าที่สามารถกันน้ำหรือของเหลวได้ดีจะช่วยลดคราบจากการหกหรืออุบัติเหตุของสัตว์เลี้ยง ซึ่งแน่นอนว่า ผ้า 30054 MACHU PICCHU, 30055 SERENGETI ของนิทัส ผ่านการทดสอบ และมีคุณสมบัติสะท้อนด้วยเช่นกัน

อ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง Water Repellent คลิ๊ก


ทนต่อการสึกหรอ (Durability): ผ้าที่แข็งแรงและทนทาน ไม่ฉีกขาดหรือเสื่อมสภาพง่ายจากการใช้งานหนัก

ความทนทานต่อการขัดถู (Abrasion Resistance) ผ้าต้องทนทานต่อการใช้งานหนัก ซึ่งการทดสอบ Martindale ที่ได้ผลมากกว่า 35,000 รอบ ก็ถือว่าสามารถใช้ในพื้นที่สาธารณะได้ บ่งบอกว่าผ้ามีความทนทานสูง ซึ่งแน่นอนว่า ผ้า 30054 MACHU PICCHU มีผลการทดสอบสูงถึง >100,000 รอบ และ 30055 SERENGETI มีผลการทดสอบสูงถึง 80,000 รอบ ทำให้ไว้วาใจได้เลยว่าผ้าที่สองตัวมีความทนทานอย่างแน่นอน

อ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง Abrasion Resistance คลิ๊ก


การที่ผ้าผ่านมาตรฐาน BS 8479:2008 หมายถึงผ้ามีความทนทานต่อการขีดข่วนและการเกี่ยว ซึ่งเหมาะสมสำหรับการใช้งานร่วมกับสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ หากผ้าผ่านการรับรองมาตรฐาน OEKO-TEX Standard 100 จะเป็นการรับประกันความปลอดภัยจากสารเคมี ทำให้ผ้าปลอดภัยต่อการสัมผัสทั้งสำหรับมนุษย์และสัตว์เลี้ยง และยังผ่านการทดสอบ ความทนทานต่อการขัดถู (Abrasion Resistance) สูงมากกว่า 80,00 รอบ ซึ่งเป็นตัวเลขบงบอกว่าสามารถใช้ผ้านี้บุเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในพื้นที่สาธารณะได้แล้ว พร้อมทั้งคุณสมบัติสะท้อน ที่ช่วยให้เราสามารถ เช็ดทำความสะอาดผ้าได้ทัน ก่อนที่คราบสกปรกจะซึมลงผิวผ้า ช่วยยืดอายุการใช้งาน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้ทำผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ให้กับสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักขอคุณ


ผ้าม่านสีอะไร? ส่งเสริมธาตุปีเกิดของคุณ

การหาธาตุของคนตามหลักฮวงจุ้ยหรือศาสตร์จีน โดยใช้ปีเกิดเป็นหลักนั้นสามารถทำได้โดยอิงจากปฏิทินจีนและระบบธาตุทั้งห้า โดยแต่ละปีในปฏิทินจีนจะถูกกำหนดด้วยธาตุ

หาปีเกิดในปฏิทินจีน: ปีเกิดตามปฏิทินจีนมักเริ่มช่วงปลายเดือนมกราคมหรือต้นเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากปีใหม่จีนไม่ได้เริ่มในวันที่ 1 มกราคมเหมือนปฏิทินสากล ถ้าเกิดช่วงก่อนปีใหม่จีน ต้องตรวจสอบว่าตกปีไหนในปฏิทินจีน

  • ปี พุทธศักราช ลงท้ายด้วย 9 หรือ 0: ธาตุ ไฟ
  • ปี พุทธศักราช ลงท้ายด้วย 1 หรือ 2: ธาตุ ดิน
  • ปี พุทธศักราช ลงท้ายด้วย 3 หรือ 4: ธาตุ โลหะ
  • ปี พุทธศักราช ลงท้ายด้วย 5 หรือ 6: ธาตุ น้ำ
  • ปี พุทธศักราช ลงท้ายด้วย 7 หรือ 8: ธาตุ ไม้

ในหลักฮวงจุ้ยและธาตุทั้งห้า มีความสัมพันธ์แบบส่งเสริมกัน ซึ่งเรียกว่า “วัฏจักรการส่งเสริม” (Cycle of Generation) หรือ “วัฏจักรการเจริญเติบโต” การที่ธาตุหนึ่งส่งเสริมธาตุอีกธาตุหนึ่งนั้นสร้างสมดุลและพลังบวกในธรรมชาติ ความสัมพันธ์นี้อธิบายได้ดังนี้:

  • ไฟส่งเสริมดิน เมื่อไฟเผาผลาญสิ่งต่าง ๆ จะทิ้งขี้เถ้าหรือสิ่งตกค้าง ซึ่งกลายเป็นดิน ดังนั้นไฟจึงสร้างดิน
  • ดินส่งเสริมโลหะ โลหะและแร่ธาตุต่าง ๆ เกิดขึ้นจากในดิน ดินเป็นแหล่งกำเนิดโลหะ
  • โลหะส่งเสริมน้ำ โลหะมีคุณสมบัติในการควบแน่นหรือเป็นแหล่งที่มาของน้ำในทางธรรมชาติ เช่น น้ำค้างบนพื้นผิวโลหะ
  • น้ำส่งเสริมไม้ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ต้นไม้เติบโตและงอกงาม
  • ไม้ส่งเสริมไฟ ไม้เป็นเชื้อเพลิงให้ไฟลุกไหม้ได้ เมื่อมีไม้มาก ไฟจะลุกโชนมากขึ้น

วัฏจักรนี้แสดงถึงการหมุนเวียนของพลังงานในลักษณะที่ส่งเสริมกัน ช่วยสร้างสมดุลและความเจริญเติบโตของพลังงานในธรรมชาติ

ในหลักฮวงจุ้ยและธาตุทั้งห้า นอกจากความสัมพันธ์แบบส่งเสริมกันแล้ว ยังมีความสัมพันธ์แบบทำลายกันด้วย ซึ่งเรียกว่า “วัฏจักรการทำลาย” (หรือ “Cycle of Destruction”) ความสัมพันธ์นี้อธิบายถึงการที่ธาตุหนึ่งสามารถข่มหรือทำลายอีกธาตุหนึ่งได้ มีรายละเอียดดังนี้:

  • ไฟทำลายโลหะ ไฟสามารถหลอมโลหะให้ละลายหรือเปลี่ยนรูปได้ จึงถือว่าไฟทำลายโลหะ
  • โลหะทำลายไม้ เครื่องมือโลหะ เช่น ขวานหรือเลื่อย สามารถตัดไม้ได้ จึงถือว่าโลหะทำลายไม้
  • ไม้ทำลายดิน รากของต้นไม้สามารถชอนไชและดูดซับธาตุอาหารจากดิน ทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ จึงถือว่าไม้ทำลายดิน
  • ดินทำลายน้ำ ดินสามารถกักเก็บน้ำหรือดูดซับน้ำ ทำให้น้ำไหลไปได้ช้าลงหรือหายไป จึงถือว่าดินทำลายน้ำ
  • น้ำทำลายไฟ น้ำสามารถดับไฟได้ จึงถือว่าเป็นธาตุที่ข่มหรือทำลายไฟ

ความสัมพันธ์เหล่านี้ช่วยสร้างสมดุลในธรรมชาติและในศาสตร์ฮวงจุ้ย โดยแสดงให้เห็นถึงการหมุนเวียนของพลังงานในลักษณะของการข่มกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการวางแผนและปรับสมดุลในสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับพลังงานของธาตุต่าง ๆ

ในหลักฮวงจุ้ย ธาตุทั้งห้ามีสีประจำตัวที่เป็นสัญลักษณ์ของพลังงานธาตุนั้น ๆ โดยสีเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การตกแต่ง หรือการเลือกสีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานธาตุในชีวิตประจำวัน ดังนี้:

  • ธาตุไฟ (火 – Huǒ) สี: สีแดง, สีส้ม, สีม่วง, และ สีชมพู สื่อถึงความอบอุ่น ความกระตือรือร้น ความร้อนแรง และความมีพลัง
  • ธาตุดิน (土 – Tǔ) สี: สีเหลือง, สีครีม, และ สีน้ำตาลอ่อน สื่อถึงความมั่นคง ความหนักแน่น และความอุดมสมบูรณ์
  • ธาตุโลหะ (金 – Jīn) สี: สีขาว, สีเทา, และ สีเงิน สื่อถึงความแข็งแกร่ง ความชัดเจน ความบริสุทธิ์ และความสง่างาม
  • ธาตุน้ำ (水 – Shuǐ) สี: สีน้ำเงิน และ สีดำ สื่อถึงความลึกลับ ความสงบ ความคล่องตัว และการไหลเวียน
  • ธาตุไม้ (木 – Mù) สี: สีเขียว และ สีน้ำตาล สื่อถึงการเจริญเติบโต ความมีชีวิตชีวา และการงอกงาม

ไขความลับซินแส ตลับเมตรฮวงจุ้ย

เราเคยสงสัยกันไหมว่า เจ้าของบ้าน หรือเจ้าของกิจการใหญ่ รวมถึงซินแส มีตลับเมตรแปลกๆ ที่มีภาษาจีนเยอะๆ อะไรไม่รู้ ตัวสีแดงๆ ดำๆ เอามาวัดโน้นวัดนี้แล้วก็บอกว่า นั้นดี นี้ร้าย และบอกให้เราช่วยแก้หรือปรับขนาด และตัวเลขนั้นก็แปลกๆ ไม่ลงตัวบ้าง เป็นเศษบ้าง

แล้วตลับเมตรนี้ มันคืออะไร?

วันนี้นิทัสเรามีคำตอบมาไขข้อสงสัยให้กับทุกท่าน
เรามาดูกันดีกว่าว่ามันคืออะไร

โดยที่เราคุ้นเคยก็จะมีด้านที่บอกหน่วยในการวัด ด้านบนเป็นหน่วย นิ้ว และทางด้านล่างสุด จะบอกหน่วย เซนติเมตร ซึ่งตลับเมตรแบบนี้ถ้าเราไม่มีความเข้าใจในภาษาจีนตรงกลางนั้น ก็ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ

สำหรับจุดที่พาให้ทุกคนงงงวย ก็คำภาษาจีนตรงกลาง ที่จะแบ่งออกเป็น สองแถวบนล่าง และมีตัวภาษาจีนทั้งสีแดง และสีดำ ก่อนอื่นเราต้องแยก ก่อนว่า

สำหรับวัดขนาด (โลกมนุษย์) ฮะ อะไรนะ วัดโลกมนุษย์คืออะไร คือสิ่งของต่างๆ ที่คนเราใช้นั้นเอง เช่น บ้านพักอาศัย, ออฟฟิศ, โรงแรม, เฟอร์นิเจอร์, โต๊ะ, เตียง, ประตู, หน้าต่าง เป็นต้น

สำหรับวัดขนาด (โลกสวรรค์) ฮะ เอาอีกแล้ว วัดโลกสวรร์คืออะไร คือสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยงข้องกับ ความเชื่อ ที่สถิตของสิ่งศักสิทธิ์ รวมไปถึงที่เกี่ยวข้องกับคนตายด้วยเช่นกัน เช่น สร้างศาลเจ้า ศาลเจ้าที่, ฮวงจุ้ยบรรพบุรุษ เป็นต้น

ขอบคุณที่ติดตามเนื้อหาดีๆ จากเรานิทัส เทสซิเล อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่นี้

และเราไม่ได้ขายตลับเมตรน่าาาาา หาซื้อได้ทั่วไปเลยจ้า


ผ้ากัน UV ได้จริงเหรอ

ปัจจัยที่ทำให้ผ้ามีความสามารถกัน UV ได้มีอยู่ 3 อย่าหลัก

  1. ความหนา (Thickness) แน่นอนว่าผ้ายิ่งหนา ยิ่งมีความสามารถในการกัน UV ได้ดี ความหนาของผ้าที่จะสามารถกันแสงได้ 100% คือประมาณ 8-10 มม ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า ผ้าม่านโดยทั่วไปมีความหนาไม่ถึง 1 มม. ด้วยซ้ำ
  2. เส้นใย (Fibers)ที่นำมาผลิต ซึ่งที่รู้ๆ กันว่าผ้าม่านโดยส่วนใหญ่มีตัวเลือกไม่มากนัก
  3. สีของผ้า (Color) สีผ้ามีผลต่อการกัน UV ได้ เป็นปัจจัย ที่เราสามารถจัดการ และเลือกได้ง่ายที่สุด

เส้นใยผ้ากับความสามารถในการป้องการ UV

ผ้าเส้นใยสังเคราะห์ กับ เส้นใยธรรมชาติ ผ้าใดกันรังสี UV ได้ดีกว่ากัน เปรียบเทียบผ้าทุกชนิด เป็นตาราง
โดย 5 คือดีที่สุด และ 1 คือ แย่ที่สุด

  • ใยสังเคราะห์: ส่วนใหญ่กกิดจากกระบวนการผลิตจาก โพลิเมอร์ ซึ่งเป็นผลผลิตการผลิตน้ำมัน หรือพูดง่ายๆ คือเป็นเส้นใยจากพลาสติกชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งในกระบวนการผลิตมักจะใส่สารเพิ่มคุณสมบัติในการป้องกัน UV ตั้งแต่ต้นบ้างแล้ว จึงทำให้มีผลในการกัน UV
  • ใยธรรมชาติ: ผ้าฝ้ายและผ้าลินินซึ่งเป็นเส้นใยจากเซลลูโลสมีความสามารถในการป้องกัน UV น้อยกว่าผ้าใยสังเคราะห์ แต่

สีผ้ากับความสามารถในการป้องการ UV

มีคำถามขึ้นในใจ แล้วสีอะไร “กัน UV” ได้มากที่สุด มาถึงจุดนี้ ความสามารถในการกันรังสี UV ไม่ให้มาถึงเรานั้น จริงแล้วมีอยู่สองปัจจัยด้วยกันคือ UV Reflection และ UV Absorption

UV Reflection (การสะท้อน UV) – หมายถึงการสะท้อนรังสี UV ออกไปจากพื้นผิวของวัตถุ ซึ่งช่วยลดการดูดซึมของรังสี UV เข้าสู่ร่างกายหรือวัตถุอื่น ๆ เช่น เสื้อผ้าที่มีสีขาวหรือสีอ่อนมักจะสะท้อนแสง UV ได้ดีกว่าสีเข้ม

UV Absorption (การดูดซึม UV) – หมายถึงการดูดซึมรังสี UV โดยวัสดุหรือพื้นผิว ซึ่งหมายความว่ารังสี UV ถูกดูดซึมเข้าไปและไม่สามารถทะลุผ่านได้ ตัวอย่างเช่น สารเคมีในครีมกันแดดที่ดูดซึมรังสี UV เพื่อป้องกันไม่ให้แสงเหล่านี้เข้าสู่ผิว

ตัวอย่างสีของผ้าม่านทั้งหมด 22 สี เรามาดูกันว่า สีไหน สะท้อน และดูดซับ UV ได้ดีกว่ากัน

จากภาพ 22 สีด้านบนเมื่อเราปรับค่าให้เหลือแค่ความสว่างของสี (Color value) จะเห็นว่าในแต่ละสีมีความสว่าง และความมืดของสีไม่เท่ากัน

นำสีทั้งหมดมาเรียงใหม่ โดยจะเห็นว่า ค่าการสะท้อนแสง กันค่าดูดซับแสงมีค่าแปลผกผันกันคือ ผ้าสีอ่อนมีค่าการสะท้อนแสงสูง และสะท้อน UV สูงด้วย แต่จะมีค่าการดูดซับ UV ต่ำ กลับกัน ผ้าที่สีสีเข้ม ค่ากันสะท้อนแสงจะต่ำ แต่ค่าการดูดซับ UV สูง

เรียงใหม่โดยเรียงจากสีที่มีค่าการส้อน UV จากมากไปน้อย

จากรูปที่แสดงด้านบน จะแบ่งผ้าออกเป็นผ้าที่อ่อน สีกลาง สีเข้ม โดยจะเป็นคุณลักษณะดังนี้

ผ้าม่านสีอ่อนผ้าม่านสีกลางผ้าม่านสีเข้ม
การสะท้อนแสงและ UV
UV Reflection
มากปานกลางน้อย
การสะสมอุณภูมิบนผิวผ้า
Thermal Absorption
ร้อนน้อยปานกลางร้อนมาก
การดูดซับ UV
UV Absorption
น้อยปานกลางมาก

อีกเรื่องที่สีของผ้ามีผล นอกจากการสะท้อนแสง การดูดซับแสงแล้ว สีของผ้าส่งผลต่อการสะสมอุณหภูมิบนพื้นผิว ซึ่งเรียกกันว่า “Thermal absorption” ซึ่งหมายถึงการดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์ เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนในปัจจุบันบ้านเราที่มีแดดร้อนมาก ที่รถสีดำดูดซับความร้อนมากกว่าสีขาว เพราะว่าสีดำมีการดูดซับแสง (และพลังงานความร้อน) มากกว่า ในขณะที่สีขาวสะท้อนแสงมากกว่าทำให้อุณหภูมิที่สะสมบนผิวน้อยกว่า นั่นเอง

  • ผ้าสีขาว: สะท้อนแสง UV ได้มากที่สุดและดูดซับ UV ได้น้อยที่สุด และมีอุณภูมิสะสมบนผิวผ้าต่ำ
  • ผ้าสีเทา: มีการสะท้อนและการดูดซับ UV ในระดับปานกลาง และมีอุณภูมิสะสมบนผิวผ้าปานกลาง
  • ผ้าสีดำ: ดูดซับแสง UV ได้มากที่สุดและสะท้อน UV ได้น้อยที่สุด และมีอุณภูมิสะสมบนผิวผ้าสูง

รูปตัวอย่างการทดลอง การสะสมอุณหภูมิบนพื้นผิว (Thermal absorption) โดยคนญี่ปุ่น โดยการนำเสื้อหลากสีไปทิ้งไว้กลางแดดในระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นจึงใช้ กล้องถ่ายภาพความร้อน หรือ Thermal Camera หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Infrared Camera ทำงานโดยตรวจจับรังสีอินฟราเรดที่ปล่อยออกมาจากวัตถุหรือพื้นผิวต่าง ๆ และแปลงรังสีนั้นเป็นภาพที่แสดงระดับอุณหภูมิที่แตกต่างกัน โดยปกติจะมีการใช้สีเพื่อแสดงความแตกต่างของอุณหภูมิ

  • สีแดงหรือสีส้มมักแสดงถึงอุณหภูมิที่สูงกว่า
  • สีน้ำเงินหรือสีม่วงมักแสดงถึงอุณหภูมิที่ต่ำกว่า

จากรูปตัวอย่างการทดลอง ก็จะเห็นว่า ค่าการสะท้อนแสง ผ้าสีขาวหรือสีอ่อนมีการสะท้อนแสงสูง และ สะสมอุหภูมิบนผิวผ้าต่ำ ฉนั้นเราก็ควรเลือกใช้ผ้าม่านสีอ่อน เพื่อการสะท้อน UV ได้ดี และผ้าสะสมความร้อนได้น้อย ส่งผลให้เครื่องรับอากาศทำงานน้อยลง ส่งผลให้ประหยัดค่าไฟไปด้วยเช่นกัน

แต่อย่างที่รู้กันเมืองไทยเป็นเมืองร้อน แสงแดดมีความสว่างสูงมาก ผ้าม่านสีอ่อนมีค่าการสะท้อนแสงสูงก็จริง แต่ผ้านั้นก็ไม่ได้มีความหนาพอจะสะท้อนแสงได้ทั้งหมด แสงแดดก็จะรอดผ่านทำให้ห้องไม่มืดเพียงพอสำหรับคนที่ต้องการความมืดในการนอนหลับ ยิ่งในบางอาชีพ ที่นอนไม่ตรงกับเวลาปกติ เช่น ศิลปิน ลูกเรือที่บริการในธุรกิจสายการบิน คนที่ทำงานเป็นกะ เป็นต้น

ปัญหาห้องที่มืดไม่มากพอ ถูกแก้ไขด้วยนวัตกรรมผ้าม่าชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่าผ้าม่านกันแสง หรือผ้าม่าน UV หรือในภาษาอังกฤษเรียก Dim-out curtain เป็นผ้าม่านที่มีคุณสมบัติที่ออกแบบมาเพื่อการกันแสงโดยเฉพาะ และมันทำได้อย่างไรนั้น ไปดูต่อกันเลย

ปจากรูปจะเห็นว่าด้านหน้าผ้า คือผ้าเป็นสีอ่อน หลังผ้าที่เห็นเป็นสีน้ำตาล จะเห็นว่าทั้งสองด้านของผ้าไม่มีส่วนใดเลยเป็นสีดำ แต่ภาพที่เราตั้งใจโชว์ให้เห็นเส้นด้ายสีดำ (Dope Dyed) ที่ทอแทรกลงไปในระหว่างชั้นผ้า เส้นด้ายสีดำที่ทอแทรกระหว่างชั้นนี้เอง จึงทำให้ม่านมีคุณสมบัติสามารถกันแสงได้ถึง 80-100% ขึ้นอยู่กับความหนาผ้า, ความหนาแน่นของเส้นด้ายสีดำที่ทอแทรกลงไป และสุดท้ายคือสีของตัวผ้าเอง

ดังนั้นจากทั้งหมดที่กล่าวมา ควรเลือกผ้าม่านกันแสง หรือ Dim-out ที่ผลิตจากเส้นใยสังเคราะห์ ที่มีสีอ่อนเพื่อการสะท้อน UV ได้ดี และเป็นผ้าที่มีความหนามากกว่าผ้าปกติ ทั้งยังมีเส้นด้ายสีดำที่ทอแทรกอยู่ระว่างชั้นผ้าช่วยดูดซับ UV ได้อีกชั้นนึง