BS EN 1021

  • Furniture — Assessment of the ignitability of upholstered furniture
  • เฟอร์นิเจอร์ — การประเมินความสามารถในการติดไฟของเฟอร์นิเจอร์หุ้มเบาะ

BS EN 1021 คือ มาตรฐานยุโรป (EN – European Standard) ที่ถูกนำมาใช้เป็น มาตรฐานแห่งชาติอังกฤษ (BS – British Standard) ซึ่งเป็นชุดของมาตรฐานที่ใช้ในการ ประเมินความสามารถในการติดไฟของเฟอร์นิเจอร์หุ้มเบาะ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นวัสดุผสม (เช่น ผ้าหุ้มและวัสดุบุภายใน) ที่ใช้ในการทำเก้าอี้ โซฟา หรือเฟอร์นิเจอร์บุผ้าอื่น ๆ

มาตรฐานนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก:

BS EN 1021-1, Part 1 Ignition source smouldering cigarette
ส่วนที่ 1: แหล่งกำเนิดประกายไฟ บุหรี่ที่กำลังติดไฟ

  • วัตถุประสงค์: ทดสอบความสามารถในการติดไฟของวัสดุเมื่อได้รับแหล่งกำเนิดประกายไฟจาก บุหรี่ที่กำลังติดไฟ (บุหรี่ที่จุดแล้วแต่ไม่มีเปลวไฟ แต่ยังคงมีถ่านแดง)
  • วิธีการทดสอบ: วางบุหรี่ที่กำลังติดไฟไว้ที่มุมระหว่างเบาะนั่งและพนักพิง (ในอุปกรณ์ทดสอบที่จำลองมุม 90 องศา) และสังเกตว่าวัสดุเกิดการลุกไหม้หรือลามไฟหรือไม่ภายในระยะเวลาที่กำหนด

BS EN 1021-2, Part 2: Ignition source match flame equivalent
ส่วนที่ 2: แหล่งกำเนิดประกายไฟ เปลวไฟเทียบเท่าไม้ขีดไฟ

  • วัตถุประสงค์: ทดสอบความสามารถในการติดไฟของวัสดุเมื่อได้รับแหล่งกำเนิดประกายไฟจาก เปลวไฟขนาดเล็กเทียบเท่าไม้ขีดไฟ (โดยปกติใช้เปลวไฟก๊าซบิวเทนขนาด 35 มม.)
  • วิธีการทดสอบ: ใช้เปลวไฟขนาดเล็กตามที่กำหนดสัมผัสกับวัสดุเป็นเวลา 15 วินาทีที่มุมระหว่างเบาะนั่งและพนักพิง จากนั้นสังเกตว่าวัสดุลุกไหม้หรือลามไฟหลังจากนำเปลวไฟออกไปแล้วหรือไม่

CHINESE STANDARD

มาตรฐานแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน (GB Standards) ถูกเรียกว่า Guojia Biaozhun “กั๋ว-เจีย-เปียว-จุ่น” (国标) ซึ่งมีความหมายว่า “มาตรฐานแห่งชาติ” และมีรหัสย่อว่า GB

  • Guójiā (国 家): กั๋ว-เจีย (หมายถึง ประเทศ/แห่งชาติ)
  • Biāozhǔn (标 准): เปียว-จุ่น (หมายถึง มาตรฐาน)

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า GB และ GB/T ต่างกันอย่างไร

1. GB (Guobiao) “กั๋ว-เปียว” – มาตรฐานบังคับ (Mandatory National Standard)

  • GB (ตามด้วยตัวเลข: เช่น GB 18401) หมายถึง “มาตรฐานแห่งชาติที่เป็นข้อบังคับ” หรือ มาตรฐานภาคบังคับ (Mandatory)
  • ความหมาย: เป็นมาตรฐานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ ความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน สุขภาพของประชาชน ความมั่นคงของชาติ ความปลอดภัยของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงข้อกำหนดพื้นฐานสำหรับการบริหารเศรษฐกิจและสังคม
  • การบังคับใช้: ผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่วางขายหรือนำเข้าสู่ตลาดจีนจะต้องผ่านการทดสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐาน GB ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ถือเป็นกฎหมายที่ต้องทำตาม

2. GB/T (Guobiao Tuijian) “กั๋ว-เปียว-ทุย-เจี้ยน” – มาตรฐานแนะนำ (Recommended National Standard)

  • GB/T (ตามด้วยตัวเลข: เช่น GB/T 5296.4) หมายถึง “มาตรฐานแห่งชาติที่เป็นข้อแนะนำ” หรือ มาตรฐานภาคสมัครใจ (Voluntary/Recommended)
  • ความหมาย: เป็นมาตรฐานที่ส่งเสริมหรือแนะนำให้ใช้ โดยส่วนใหญ่จะกำหนดในเรื่องที่นอกเหนือจากความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น คุณภาพ ประสิทธิภาพ วิธีการทดสอบ และข้อกำหนดทางเทคนิคทั่วไป
  • การบังคับใช้: แม้จะเป็น “ข้อแนะนำ” แต่ในทางปฏิบัติ องค์กรหรืออุตสาหกรรมมักจะนำมาตรฐานเหล่านี้มาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการของตน โดยเฉพาะในสัญญาซื้อขายหรือการประมูล มักจะมีการอ้างอิงถึงมาตรฐาน GB/T ต่างๆ นอกจากนี้ มาตรฐาน GB/T บางตัวอาจถูกนำมาใช้เป็น วิธีการทดสอบ ที่อ้างอิงโดยมาตรฐาน GB ภาคบังคับ

GB 8624-2012

  • Classification for burning behaviour of building materials and products
  • การจัดจำแนกพฤติกรรมการเผาไหม้ของวัสดุและผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

GB 8624 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยจากอัคคีภัยที่สำคัญของประเทศจีน (Chinese National Standard) ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์และข้อกำหนดสำหรับการจำแนกประเภทพฤติกรรมการเผาไหม้ของวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในงานก่อสร้างและตกแต่ง เช่น ผนัง เพดาน พื้น และวัสดุฉนวน มาตรฐานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับความสามารถในการติดไฟ การลามไฟ และการผลิตควัน เพื่อปกป้องความปลอดภัยของอาคารและผู้ใช้งาน

การจำแนกประเภทและการทดสอบหลัก

GB 8624-2012 มีการจัดหมวดหมู่และเกณฑ์การทดสอบที่ครอบคลุมสำหรับวัสดุและผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยมีการแบ่งระดับประสิทธิภาพการทนไฟเป็นเกรดหลัก ได้แก่ A, B1, B2, และ B3 (โดย A คือเกรดที่ทนไฟได้ดีที่สุด)

เกรดหลักระดับประสิทธิภาพคำอธิบายโดยย่อ
Aวัสดุไม่ติดไฟ
(Non-combustible)
ทนไฟได้มากที่สุด, ไม่มีการติดไฟหรือลามไฟอย่างต่อเนื่อง
B1วัสดุทนไฟ
(Difficult-to-burn)
ลามไฟได้จำกัดและมีคุณสมบัติในการดับไฟเอง (Self-extinguishing)
B2วัสดุติดไฟได้
(Combustible)
มีคุณสมบัติการติดไฟที่ชัดเจน สามารถเผาไหม้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
B3วัสดุไวไฟ
(Flammable)
ติดไฟได้ง่ายและเผาไหม้อย่างรวดเร็ว (เป็นเกรดที่ต่ำที่สุด)

การทดสอบ: การจำแนกเกรดต้องผ่านชุดการทดสอบหลายอย่างที่กำหนดในมาตรฐานอ้างอิงอื่น ๆ (เช่น GB/T 5464, GB/T 8626, GB/T 20284) ซึ่งจะวัดปัจจัยต่าง ๆ เช่นอัตราการปลดปล่อยความร้อน (Heat Release Rate) การผลิตควัน Smoke Production) และการคงสภาพการเผาไหม้ (Sustained Burning)

การประยุกต์ใช้กับผ้าเพื่อการตกแต่งที่อยู่อาศัย เช่น ผ้าม่าน (Curtain) และ ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ (Textile for Furniture)มาตรฐาน GB 8624 ก็ได้กำหนดเกณฑ์การทดสอบเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทนี้เช่นกัน โดยเน้นที่การทดสอบเพื่อให้ได้ระดับ Class B1 หรือ Class B2


GB/T 17593.2-2007

  • Textiles—Determination of heavy metals—Part 2: Inductively coupled plasma atomic emission spectrometry
  • สิ่งทอ—การหาปริมาณโลหะหนัก—ส่วนที่ 2: วิธีสเปกโทรเมตรีการปล่อยอะตอมด้วยพลาสมาแบบเหนี่ยวนำ (ICP-AES)

มาตรฐานนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดมาตรฐาน GB/T 17593 ที่กำหนด วิธีการทดสอบและวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักที่สามารถสกัดออกมาได้ (Extractable Heavy Metals) ในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ

  • วัตถุประสงค์: เพื่อควบคุมและรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สิ่งทอ โดยการวัดปริมาณโลหะหนักที่เป็นอันตรายที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม
  • วิธีการทดสอบหลัก: ใช้เทคนิค Inductively Coupled Plasma Atomic Emission Spectrometry (ICP-AES)หรือที่เรียกว่า ICP-OES เพื่อวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักหลายชนิดได้พร้อมกันในสารสกัด
  • โลหะหนักที่ถูกทดสอบ: มาตรฐานนี้ระบุวิธีการสำหรับตรวจหาโลหะหนักหลัก ๆ ที่เป็นอันตราย 8 ชนิด ได้แก่
    • As (สารหนู – Arsenic)
    • Cd (แคดเมียม – Cadmium)
    • Co (โคบอลต์ – Cobalt)
    • Cr (โครเมียม – Chromium)
    • Cu (ทองแดง – Copper)
    • Ni (นิกเกิล – Nickel)
    • Pb (ตะกั่ว – Lead)
    • Sb (พลวง – Antimony)
  • การประยุกต์ใช้: ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่ผลิตหรือนำเข้า/ส่งออกไปยังประเทศจีน เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของผู้บริโภคในระดับสากลและระดับประเทศ (เช่น ข้อกำหนดที่คล้ายกับ Oeko-Tex หรือ REACH)

NFPA

NFPA ย่อมาจาก National Fire Protection Association (สมาคมป้องกันอัคคีภัยแห่งชาติ) เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจากสหรัฐอเมริกาที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ

องค์กรนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ ลดการเสียชีวิต การบาดเจ็บ ทรัพย์สินเสียหาย และความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดจากไฟไหม้ ไฟฟ้า และอันตรายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

NFPA 701

NFPA 701 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยจากอัคคีภัยที่กำหนดขึ้นโดย National Fire Protection Association (NFPA) ในสหรัฐอเมริกา ใช้เฉพาะกับผ้าม่าน ผ้าม่าน และการรักษาหน้าต่างอื่นๆ ที่ใช้ในอาคารสาธารณะ และอาคารพาณิชย์ มาตรฐานกำหนดข้อกำหนดสำหรับการติดไฟของวัสดุเหล่านี้และมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้ และจำกัดการแพร่กระจายของเปลวไฟและควัน

การทดสอบ NFPA 701 เกี่ยวข้องกับการนำวัสดุไปสัมผัสกับเปลวไฟตามระยะเวลาที่กำหนด และสังเกตว่าวัสดุมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเปลวไฟ การทดสอบวัดปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราการแพร่กระจายของเปลวไฟ ปริมาณควันที่เกิดขึ้น และดูว่าเศษที่ติดไฟตกจากวัสดุหรือไม่

วัสดุที่ผ่านการทดสอบ NFPA 701 ถือว่ามีคุณสมบัติทนไฟที่ยอมรับได้ และสามารถใช้ได้ในอาคารสาธารณะและอาคารพาณิชย์ การทดสอบ NFPA 701 ใช้ไม่ได้กับ วัสดุและผ้าทุกประเภท และวัสดุบางชนิดอาจต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าสอดคล้องกับกฎความปลอดภัยจากอัคคีภัย

นอกจาก NFPA 701 แล้ว ยังมีมาตรฐานความปลอดภัยจากอัคคีภัยอื่น ๆ ที่ใช้กับวัสดุและผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ในอาคาร สิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของอาคาร ผู้ออกแบบ และผู้ผลิตจะต้องตระหนักถึงมาตรฐานเหล่านี้ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของตนเป็นไปตามข้อกำหนดที่จำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงจากอัคคีภัยและปกป้องความปลอดภัยสาธารณะ


NFPA 260

NFPA 260 เป็นมาตรฐานที่พัฒนาโดย National Fire Protection Association (NFPA) ซึ่งกำหนดข้อกำหนดด้านความปลอดภัยจากอัคคีภัยสำหรับเฟอร์นิเจอร์บุนวม มันมีชื่อว่า “วิธีมาตรฐานของการทดสอบและระบบการจำแนกประเภทสำหรับการต้านทานการติดไฟของบุหรี่ของส่วนประกอบของเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง”

วัตถุประสงค์ของ NFPA 260 คือเพื่อให้มีวิธีทดสอบและจำแนกความต้านทานของวัสดุหุ้มเบาะต่อการติดไฟของบุหรี่ มาตรฐานนี้รวมถึงการทดสอบเพื่อหาค่าการต้านทานการติดไฟของวัสดุที่ใช้ในเฟอร์นิเจอร์บุนวม เช่น ผ้า โฟม

การทดสอบที่ระบุใน NFPA 260 จำลองผลกระทบของบุหรี่ที่จุดแล้วตกลงบนวัสดุเฟอร์นิเจอร์ มาตรฐานระบุขั้นตอนการดำเนินการทดสอบเหล่านี้และจัดเตรียมระบบการจำแนกสำหรับผลลัพธ์ วัสดุที่ผ่านการทดสอบจัดอยู่ในประเภทที่ 1 ในขณะที่วัสดุที่ไม่ผ่านการจัดประเภทเป็นประเภทที่ 2

NFPA 260 มีความสำคัญเนื่องจากช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดไฟไหม้ในเฟอร์นิเจอร์บุนวม เฟอร์นิเจอร์บุนวมเป็นแหล่งกำเนิดไฟทั่วไปในบ้านและอาคารอื่นๆ และวัสดุที่ตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐานนี้มีโอกาสน้อยที่จะทำให้เกิดไฟไหม้ การปฏิบัติตาม NFPA 260 อาจกำหนดโดยรหัสอาคาร บริษัทประกันภัย และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ


ความแตกต่างระหว่าง NFPA 701 และ NFPA 260

NFPA 701: วิธีมาตรฐานในการทดสอบไฟสำหรับการแพร่กระจายเปลวไฟของสิ่งทอและฟิล์ม
มาตรฐานนี้ใช้เพื่อวัดความสามารถในการติดไฟของสิ่งทอและฟิล์มเมื่อสัมผัสกับเปลวไฟ การทดสอบเกี่ยวข้องกับการให้ชิ้นงานในแนวตั้งสัมผัสกับเปลวไฟขนาดเล็กเป็นเวลา 12 วินาที และวัดอัตราการแพร่กระจายของเปลวไฟและเวลาหลังเกิดเปลวไฟ NFPA 701 มีไว้สำหรับวัสดุที่ใช้ในผ้าม่าน ผ้าม่าน และงานตกแต่งอื่นๆ

NFPA 260: วิธีมาตรฐานของการทดสอบและระบบการจำแนกประเภทสำหรับการต้านทานการติดไฟของบุหรี่ของส่วนประกอบของเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง
มาตรฐานนี้ใช้เพื่อวัดความต้านทานการติดไฟจากบุหรี่ของส่วนประกอบของเฟอร์นิเจอร์ เช่น ฟองน้ำ เบาะ ผ้าหุ้มเบาะ และแผงกั้น การทดสอบเกี่ยวข้องกับการให้ชิ้นงานทดสอบในแนวตั้งสัมผัสกับบุหรี่ที่จุดไฟเป็นเวลา 5 นาที และวัดเวลาในการติดไฟ และระยะเวลาการเผาไหม้ NFPA 260 มีไว้สำหรับส่วนประกอบเฟอร์นิเจอร์บุนวมและผ้าหุ้มเบาะ

โดยสรุป NFPA 701 วัดการแพร่กระจายเปลวไฟของสิ่งทอและฟิล์ม ในขณะที่ NFPA 260 วัดความต้านทานการติดไฟจากบุหรี่ของส่วนประกอบเฟอร์นิเจอร์บุนวม เป็นวิธีการทดสอบเฉพาะที่ใช้ทดสอบเรื่องการติดไฟ ลามไฟเหมือนกันแต่แตกต่างกันของวัสดุที่นำนำมาทดสอบนั้นแตกต่างกันระหว่างสองมาตรฐานนี้


CA TB 117

Flame retardant มาตรฐานต่างๆ เหล่านี้ได้ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยจากอัคคีภัย ที่ใช้กับวัสดุและผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ ที่ใช้ในอาคาร สิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของอาคาร ผู้ออกแบบ และผู้ผลิตจะต้องตระหนักถึงมาตรฐานเหล่านี้ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของตนเป็นไปตามข้อกำหนดที่จำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงจากอัคคีภัยและปกป้องความปลอดภัยสาธารณะ เช่น

CALIFORNIA, USA STANDARD

CA TB 117

CA TB 117 เป็นมาตรฐานการติดไฟในแคลิฟอร์เนียที่ใช้กับเฟอร์นิเจอร์บุนวม ก่อตั้งขึ้นในปี 1975 และได้รับการพัฒนาปรับปรุงตลอดมา มาตรฐานกำหนดให้เฟอร์นิเจอร์บุนวมที่ขายในแคลิฟอร์เนียต้องผ่านการทดสอบการติดไฟเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ติดไฟได้ง่าย และเปลวไฟที่เกิดขึ้นจะไม่ลุกลามเร็วเกินไป

CA TB 117 เวอร์ชันดั้งเดิมกำหนดให้เฟอร์นิเจอร์สามารถทนต่อการทดสอบเปลวไฟแบบเปิดเป็นเวลา 12 วินาที และปรับปรุงเวอร์ชั่นในปี 2013 ให้ที่คำนึงถึงสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

TB 117-2013 กำหนดให้เฟอร์นิเจอร์หุ้มเบาะต้องผ่านการทดสอบการรมควันมากกว่าการทดสอบเปลวไฟ การทดสอบนี้ได้รับการออกแบบให้มีความสมจริงมากขึ้นและสะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่าไฟส่วนใหญ่เริ่มด้วยควันและความร้อนมากกว่าเปลวไฟโดยตรง

CA TB 117 เป็นมาตรฐานสำคัญในการปกป้องความปลอดภัยสาธารณะ สำหรับอาคารพาณิชย์ และพื้นที่มีคนรวมรวมกันจำนวนมากๆ เช่น โรงแรม อาคารชุดเป็นต้น


Eco-Friendly Bamboo Rayon Sheers

Naturally soft. Light-filtering. Sustainable beauty.

ผ้าผ้าม่านผสมใยไผ่เรยอน (Rayon from Bamboo) 18% และโพลีเอสเตอร์ (Polyester) 82% เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่ผสมผสานจุดเด่นของเส้นใยทั้งสองชนิดเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว เพื่อมอบผ้าม่านที่ทั้งสวยงาม หรูหรา และใช้งานได้จริง บทความนี้จะชี้ให้เห็นถึงคุณประโยชน์ที่ทำให้ผ้าม่านชนิดนี้แตกต่างและน่าสนใจสำหรับบ้านของคุณ

ผ้าม่านใยไผ่เรยอนและโพลีเอสเตอร์: การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความหรูหราและความทนทาน

ในโลกของการตกแต่งบ้าน ผ้าม่าน ไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งบังตาหรือป้องกันแสงแดด แต่ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศและสไตล์ให้กับห้องได้อย่างเด่นชัด การเลือกวัสดุผ้าม่านจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และผ้าผสมที่ประกอบด้วย ใยไผ่เรยอน 18% และโพลีเอสเตอร์ 82% ถือเป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามอง เพราะเป็นการดึงเอาจุดเด่นของเส้นใยธรรมชาติ (ผ่านกระบวนการทำเรยอน) และเส้นใยสังเคราะห์มาไว้รวมกันอย่างชาญฉลาด

จุดเด่นจากใยไผ่เรยอน (18%): สัมผัสนุ่มนวลและผ้าทิ้งตัวสวย

แม้จะมีสัดส่วนเพียง 18% แต่ใยไผ่เรยอนก็มีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพของผ้าม่าน:

  1. ความนุ่มนวลและหรูหรา: ใยเรยอน (หรือวิสคอส) ขึ้นชื่อเรื่องสัมผัสที่คล้ายคลึงกับผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายชั้นดี ทำให้ผ้าม่านมี ความนุ่มนวลอย่างหรูหรา น่าสัมผัส
  2. การทิ้งตัว (Drape) ที่ยอดเยี่ยม: ผ้าที่มีส่วนผสมของเรยอนจะมี การทิ้งตัวที่ดีเยี่ยม (Excellent Drape) ช่วยให้ผ้าม่านเป็นลอนสวยงาม ดูมีน้ำหนัก และพลิ้วไหวอย่างสง่างาม
  3. การดูดซับสีที่ดี: เรยอนสามารถดูดซับสีย้อมได้ดีเยี่ยม ทำให้ผ้าม่านมี สีสันที่สดใส และชัดเจน ติดทนนาน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในการตกแต่งบ้าน

จุดแข็งจากโพลีเอสเตอร์ (82%): ความทนทานและการดูแลรักษาง่าย

สัดส่วนที่มากถึง 82% ของโพลีเอสเตอร์เป็นหัวใจสำคัญที่มอบความแข็งแกร่งและฟังก์ชันการใช้งานที่ยาวนาน:

  1. ความทนทานและความแข็งแรง: โพลีเอสเตอร์เป็นเส้นใยสังเคราะห์ที่ ทนทานสูง ทนต่อการขูดขีดและแรงดึงได้ดี ทำให้ผ้าม่านมีอายุการใช้งานยาวนาน
  2. ไม่ยับง่ายและคงรูปดี: คุณสมบัติเด่นของโพลีเอสเตอร์คือ ไม่ยับง่าย มีความยืดหยุ่นดี และสามารถ คงรูปร่าง ได้ดีเยี่ยม ทำให้ผ้าม่านดูเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ แม้หลังจากการใช้งานหรือซักทำความสะอาด
  3. ดูแลรักษาง่าย: ผ้าม่านโพลีเอสเตอร์ ซักง่าย แห้งเร็ว และมีคุณสมบัติ ดูดซับความชื้นต่ำ ทำให้ไม่ค่อยอมน้ำ ไม่อมฝุ่น และดูแลรักษาได้ง่ายกว่าผ้าเส้นใยธรรมชาติแท้ๆ มาก
  4. ทนต่อแสงแดด (ในระดับหนึ่ง): โพลีเอสเตอร์มีความทนทานต่อแสงแดดและรังสียูวีได้ดีกว่าเส้นใยธรรมชาติบางชนิด ช่วยลดโอกาสการซีดจางของผ้าม่าน (อย่างไรก็ตาม ควรเลือกผ้าม่านที่มีการทอแน่นหรือมีการเคลือบกัน UV เพิ่มเติมหากต้องการคุณสมบัติกันแดดที่สูง)

ผ้าม่านนี้เหมาะกับห้องแบบไหน?

ผ้าม่านใยไผ่เรยอนและโพลีเอสเตอร์นี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับ:

  1. ห้องนั่งเล่น/ห้องรับแขก: ที่ต้องการความสวยงาม หรูหรา และผ้าทิ้งตัวเป็นลอนสวย เพื่อสร้างบรรยากาศที่น่าประทับใจ
  2. ห้องนอน: ที่ต้องการผ้าม่านที่นุ่มนวลและมีสีสันสวยงาม ซึ่งโพลีเอสเตอร์ยังช่วยให้การดูแลรักษาง่ายและทนทานต่อการใช้งานบ่อยครั้ง

ด้วยการผสมผสานเส้นใยทั้งสองชนิดนี้ ทำให้ผ้าม่านของคุณได้รับทั้ง “ความงามและสัมผัสอันอ่อนโยน” จากเรยอน และ “ความทนทานและประสิทธิภาพ” จากโพลีเอสเตอร์ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับผ้าม่านที่ดูดีมีระดับและใช้งานได้ยาวนาน


“Eco-Friendly” (เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) 

ในบริบทของ Bamboo Rayon Sheers นั้น มาจากหลายปัจจัยตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับ ไม้ไผ่ ที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้น ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากแหล่งวัตถุดิบ (ไม้ไผ่) โดดเด่นคือ เป็นพืชที่มีความยั่งยืนสูงมากเมื่อเทียบกับพืชอื่น ๆ เช่น ฝ้าย

  1. เติบโตเร็วและทดแทนได้เร็ว: ไม้ไผ่เป็นพืชที่โตเร็วที่สุดในโลก สามารถเก็บเกี่ยวได้ซ้ำ ๆ ภายใน 3-5 ปี โดยไม่ต้องปลูกใหม่ ต่างจากไม้ยืนต้นอื่น ๆ ที่ต้องใช้เวลาหลายสิบปี ทำให้เป็น ทรัพยากรหมุนเวียน ที่ยอดเยี่ยม
  2. ใช้ทรัพยากรน้อย:
    • น้ำน้อย: การปลูกไม้ไผ่ต้องการน้ำน้อยกว่าการปลูกฝ้ายแบบดั้งเดิมอย่างมาก โดยอาจใช้น้ำน้อยกว่ามากถึง 50 ลิตร ต่อเส้นใย 1 กิโลกรัม ในขณะที่ฝ้ายอาจต้องใช้สูงถึง 10,000 ลิตร
    • ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงหรือปุ๋ยเคมี: ไม้ไผ่มีสารต้านทานจุลินทรีย์ตามธรรมชาติที่เรียกว่า “Bamboo Kun” ทำให้สามารถเติบโตได้ดีในดินคุณภาพต่ำโดย ไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี สังเคราะห์ใด ๆ
  3. ช่วยรักษาสภาพดินและอากาศ: ระบบรากที่แผ่กว้างของไผ่ช่วย ป้องกันการกัดเซาะ ของหน้าดิน และไผ่ยังเป็นพืชที่สามารถ ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และปล่อยออกซิเจนได้มากกว่าป่าไม้ทั่วไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ช่วยต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ภูมิปัญญาการย้อมผ้าในอดีต

ภูมิปัญญาการย้อมผ้าในอดีต (Traditional Dyeing Wisdom in the Past) ก่อนที่ความรู้ทางเคมีสมัยใหม่จะเข้ามา มนุษย์ใช้สิ่งของจากธรรมชาติรอบตัวเพื่อการย้อมผ้า โดยอาศัยทั้ง สีจากธรรมชาติและ สารช่วยย้อม (mordant หรือกรด-ด่างธรรมชาติ) ที่หาได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

แหล่งสีย้อมธรรมชาติ

  • เปลือกไม้ ใบไม้ และรากไม้ → เช่น เปลือกประดู่ เปลือกมะเกลือ ให้สีน้ำตาล–ดำ
  • พืชให้สีฟ้า–คราม → เช่น คราม (Indigofera tinctoria) ใช้หมักให้เกิดสีน้ำเงินคราม
  • ดอกไม้และผลไม้ → เช่น ดอกคำฝอยให้สีเหลือง–ส้ม เปลือกทับทิมให้สีเหลือง
  • สัตว์บางชนิด → เช่น ครั่ง (lac dye) ที่ได้จากแมลง ให้สีแดงอมม่วง

ในกรณีแบ่งตามสีต่างๆ

  • สีน้ำเงิน/สีคราม → ใบและเถา ของ คราม (Indigofera tinctoria), ฮ่อม
  • สีเหลือง → ขมิ้น, แก่นขนุน, ดอกดาวเรืองดอก, ใบมะม่วง และ เปลือกหัวหอมสีน้ำตาล
  • สีแดง/สีชมพู → ครั่ง (จากแมลงครั่ง), แก่นฝาง, ดอกคำฝอย, เปลือกรากยอ
  • สีเขียว → ใบหูกวางสด, เปลือกต้นมะริดไม้
  • สีน้ำตาล → เปลือกโกงกาง, เปลือกผลเงาะสด, เมล็ดคั่วบดกาแฟ หรือ ใบชา
  • สีส้ม → ผลและเมล็ดคำแสด, เปลือกหัวหอมสีน้ำตาล, เปลือกและรากยอ
  • สีดำ/สีเทา → ลูกมะเกลือดิบ, เปลือกสมอ, ดินโคลน (ใช้ในการหมักหรือย้อม)

นอกจากการได้สีตรงๆ แล้วยังมีเทคนิคการย้อมทับอีกด้วย เช่น อยากได้สีเขียว โดยการย้อม คราม แล้วย้อมทับด้วยสีเหลืองจากใบมะม่วง เป็นต้น

สีน้ำเงินจากธรรมชาติ จาก ต้นคราม กับ ต้นฮ่อม เป็นพืชคนละชนิดกัน แต่ถูกใช้เป็นสีย้อมสีน้ำเงิน/ครามเหมือนกัน และมีชื่อเรียกในท้องถิ่นที่ทับซ้อนกันมาก เป็นพืชที่ให้สีครามที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก และเป็นพืชเศรษฐกิจสำหรับย้อมสีในภาคอีสานของไทย

รายละเอียดต้นคราม
(True Indigo)
ต้นฮ่อม
(Strobilanthes/
Baphicacanthus)
ชื่อวิทยาศาสตร์Indigofera tinctoria Linn.Strobilanthes cusia (Nees) Bremek. หรือ ชื่อพ้องคือ Baphicacanthus cusia (Nees) Bremek.
วงศ์Fabaceae
(วงศ์ถั่ว)
Acanthaceae 
(วงศ์เหงือกปลาหมอ)
ชื่อสามัญ (อังกฤษ)Indigo, True IndigoAssam Indigo, Chinese Rain Bell
ชื่อไทย (ทั่วไป)ครามฮ่อม
ชื่อไทยตามภูมิภาคคาม (ภาคเหนือ, ภาคอีสาน)ครามดอย (แม่ฮ่องสอน) ฮ่อมเมือง, ฮ่อมหลวง, ฮ่อมน้อย (น่าน, เชียงใหม่, แพร่) ครามหลอย
ลักษณะไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบประกอบแบบขนนก ดอกเป็นช่อยาวสีชมพูหรือม่วงแดง ฝักเล็กคล้ายฝักถั่ว มีสารให้สีหลักคือ อินดิโก้ (Indigo)พืชล้มลุกหรือไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นเป็นข้อปล้อง ใบมีขนาดใหญ่กว่าคราม มีสารให้สีหลักคือ อินดิโก้ (Indigo) เช่นกัน
พื้นที่ปลูกในไทยส่วนใหญ่พบมากใน ภาคอีสาน (เช่น สกลนคร)ส่วนใหญ่พบมากใน ภาคเหนือ (เช่น แพร่, น่าน)

สารช่วยย้อมจากธรรมชาติ

  • ขี้เถ้าไม้ → เมื่อนำมาละลายน้ำได้ น้ำด่างอ่อน (alkaline water) ใช้ช่วยย้อมให้สีติดดีขึ้น
  • น้ำส้มสายชู หรือน้ำหมักผลไม้เปรี้ยว → ให้สภาพเป็น กรดอ่อน ใช้ปรับสมดุลการย้อมบางชนิด
  • สารส้ม (alum) ที่หาได้จากธรรมชาติ ใช้เป็น สารช่วยยึดเกาะ (mordant) ให้สีติดทนนาน
  • เปลือกไม้ฝาด (tannin) → มีรสฝาด ใช้คู่กับสารส้มเพื่อช่วยฟิกซ์สีบนเส้นใยฝ้ายและไหม

เส้นใยที่ย้อมได้ในอดีต เส้นใยธรรมชาติเท่านั้น เช่น ฝ้าย ปอ ป่าน ไหม ขนสัตว์ เพราะเส้นใยสังเคราะห์ (โพลีเอสเตอร์, ไนลอน, อะคริลิก) เพิ่งถูกคิดค้นในยุคอุตสาหกรรมศตวรรษที่ 20 และต้องใช้สีย้อมเฉพาะทางเคมีสูง + อุณหภูมิ/แรงดันเกิน 100 °C ซึ่งชาวบ้านในอดีตไม่สามารถทำได้

  • ฝ้าย / ปอ / ป่าน (เส้นใยพืช – เซลลูโลส) → ย้อมด้วย พืชให้สี + สารฝาด (tannin) + สารส้ม (alum) + น้ำด่างจากขี้เถ้า
  • ไหม / ขนสัตว์ (เส้นใยโปรตีน) → ย้อมด้วย ครั่ง (แมลง), คราม, เปลือกไม้, ดอกไม้/ผลไม้ให้สี และใช้ กรดอ่อน (น้ำส้มสายชู, น้ำหมักผลไม้) ช่วยให้สีติด

พูดง่าย ๆ คือ: เส้นใยพืชใช้ด่าง/สารฝาดช่วยย้อม, เส้นใยสัตว์ใช้กรดอ่อน/สารส้มช่วยฟิกซ์สี


Dye Class vs Dye Method

  • Dye Class (ชนิดสีย้อม): หมายถึง ประเภทของสีย้อม ที่ถูกจัดกลุ่มตามคุณสมบัติทางเคมีของตัวสีย้อมเอง และความเหมาะสมในการย้อมเส้นใยแต่ละชนิด (เช่น Reactive Dye สำหรับผ้าฝ้าย, Disperse Dye สำหรับโพลีเอสเตอร์)
  • Dye Method (วิธีการย้อม): หมายถึง ขั้นตอนหรือช่วงเวลาในกระบวนการผลิต ที่นำเส้นใยหรือผ้าไปย้อมสี (เช่น Yarn Dye ย้อมตอนเป็นเส้นด้าย, Piece Dye ย้อมตอนเป็นผืนผ้า, Garment Dye ย้อมตอนเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป)

DYE CLASS

ชนิดสีย้อม คือ ประเภทของสีย้อม ที่ใช้ ตามคุณสมบัติทางเคมีของเส้นใย

ชนิดสีย้อม
ปี/ผู้คิดค้น
เส้นใยที่ใช้/ความหมายวิธีการติด/พันธะความคงทน/คุณสมบัติเงื่อนไขในการย้อม / สารที่ช่วย
CATIONIC DYE
(Basic Dye),
1856
William Henry Perkin (อังกฤษ)
เส้นใยประจุลบ (anionic): อะคริลิก, modified polyesterแรงดึงดูดประจุ (+) ของสีย้อม กับประจุ (-) บนเส้นใยสีสด สว่าง ติดทน แต่ความทนแสงต่ำกว่า Disperseย้อมที่อุณหภูมิสูง (80–100 °C) มักเติมเกลือหรือกรดอ่อนช่วยย้อม
ACID DYE,
1870
เส้นใยโปรตีน (ขนสัตว์, ไหม) และไนลอนพันธะไฟฟ้าสถิตระหว่างหมู่ –SO₃⁻ ของสีย้อม กับหมู่ –NH₃⁺ ของเส้นใยความคงทนแสงและซักดีปานกลาง–สูง สีสดใช้กรดอ่อน (pH 4–5) และอุณหภูมิ 80–100 °C
DIRECT DYE,  
1880s
เส้นใยเซลลูโลส (ฝ้าย, เรยอน)ยึดเกาะด้วยพันธะไฮโดรเจน และแรง Van der Waals กับเส้นใยความคงทนต่ำกว่าสี Reactive และ Vat แต่ย้อมง่าย ราคาถูกต้องใช้ เกลือ (NaCl หรือ Na₂SO₄) ช่วยผลักสีย้อมเข้าสู่เส้นใย อุณหภูมิ 80–100 °C
VAT DYE,
1901
Adolf von Baeyer (เยอรมนี)
เส้นใยเซลลูโลส เช่น ฝ้าย และ เดนิม (Indigo)สีย้อมถูกรีดิวซ์เป็น leuco form (ไม่มีสี) ละลายน้ำได้ ซึมเข้าเส้นใย แล้วออกซิไดซ์กลับเป็นสีจริงความคงทนแสงและซักสูงมาก ที่สุดในบรรดาสีย้อมทั้งหมดใช้ สารรีดิวซ์ Na₂S₂O₄ และ ด่าง NaOH ช่วยละลาย ก่อนออกซิไดซ์ด้วยอากาศ
DISPERSE DYE,
1920S
เส้นใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์ อะซีเตต ไนลอนสีย้อมไม่ละลายน้ำ กระจายตัวด้วย dispersing agent เข้าสู่เส้นใยด้วยการแพร่ให้สีสด ความคงทนแสงดี ใช้ได้ดีที่สุดกับโพลีเอสเตอร์ต้องใช้อุณหภูมิสูง (130 °C ใน หม้อแรงดัน HT dyeing) หรือใช้ Carrier ที่ 100 °C
REACTIVE DYE,
1954
บริษัท ICI (อังกฤษ)
เส้นใยเซลลูโลส (ฝ้าย, เรยอน, ลินิน) และเส้นใยโปรตีน (ขนสัตว์, ไหม)เกิดพันธะโควาเลนต์ (covalent bond) ระหว่างหมู่ –OH หรือ –NH₂ ของเส้นใย กับสีย้อมความคงทนสูง ทั้งแสงและการซัก สีสดมากต้องใช้ ด่าง (เช่น Na₂CO₃ หรือ NaOH) เพื่อเปิดหมู่ –OH ให้เกิดปฏิกิริยา

สรุปหลักการย้อมและคำศัพท์เคมีพื้นฐาน

การย้อมผ้าคือการทำให้สีย้อมเข้าไปยึดติดกับเส้นใยอย่างถาวร ซึ่งอาศัยหลักการทางเคมีที่แตกต่างกันไปตามประเภทสีย้อมและเส้นใย

หลักการ/สภาวะคำอธิบายหลักการย้อม
แรงประจุบวก–ลบ
Cationic Dye (+),
Acid Dye (–)
อาศัยแรงดึงดูดระหว่างประจุไฟฟ้าตรงข้ามกัน (Ionic Bond)
ควบคุมสภาวะ กรด/ด่าง
Acid Dye (ต้องใช้กรด), 
Reactive Dye (ต้องใช้ด่าง)
สภาวะ pH ที่เหมาะสมจะช่วยเปิดหมู่ฟังก์ชันในเส้นใยหรือทำให้สีย้อมทำปฏิกิริยาได้
รีดิวซ์ + ออกซิไดซ์
(Vat Dye)
ต้องเปลี่ยนรูปสีย้อมที่ไม่ละลายน้ำให้เป็นรูปละลายน้ำได้ (Leuco form) ก่อน จึงค่อยเปลี่ยนกลับเป็นรูปไม่ละลายน้ำในเส้นใย
พันธะโควาเลนต์
(Reactive Dye)
การสร้างพันธะเคมีถาวรระหว่างสีย้อมกับเส้นใย ทำให้สีติดทนทานที่สุด

คำศัพท์เคมีและสารช่วยย้อมที่สำคัญ (Auxiliary Chemicals)

สารเคมี
ชื่อไทย / ชื่อสามัญ
หน้าที่และการทำงานในการย้อม
NaCl
โซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง)
(Sodium Chloride) 
Electrolyte (อิเล็กโทรไลต์): ลดแรงผลักระหว่างสีย้อมประจุลบ (ส่วนใหญ่) กับเส้นใย → ช่วยดันสีย้อมให้ซึมเข้าเส้นใยฝ้าย
NaOH
โซเดียมไฮดรอกไซด์ (ด่างเข้มข้น)
(Sodium Hydroxide)
ด่างควบคุม pH: ปรับสภาวะให้เป็นด่างเข้มข้น → จำเป็นสำหรับกระบวนการ รีดิวซ์ ของ Vat Dye และใช้ในการย้อม Sulfur Dye
Na₂SO₄ 
โซเดียมซัลเฟต
(Sodium Sulfate)
(Glauber’s salt)
Electrolyte เช่นเดียวกับ NaCl ใช้เพื่อช่วย ดันสีย้อมเข้าเส้นใย มักใช้ใน Reactive Dye และ Direct Dye บนฝ้าย
Na₂S₂O₄ 
โซเดียมไดไธโอไนต์
(Sodium Dithionite)
สารรีดิวซ์ (Reducing agent): ใช้เฉพาะใน Vat Dye → เปลี่ยน Vat Dye ให้เป็น Leuco form (ละลายน้ำได้)
Na₂CO₃
โซดาแอช
(Sodium Carbonate)
สารด่าง (Alkali agent): ปรับ pH ให้เป็นด่าง → เปิดหมู่ −OH บนเส้นใยฝ้าย เพื่อให้ Reactive Dye สร้างพันธะโควาเลนต์ได้

คำศัพท์เฉพาะทางเคมีสิ่งทอ

คำศัพท์ความหมายและบทบาท
LEUCO FORM
ลู-โค ฟอร์ม
รูปที่ถูกรีดิวซ์ของสีย้อม Vat Dye (เช่น คราม) → เป็นรูปที่ ละลายน้ำได้ และ ไม่มีสี/สีจาง → ทำให้สีย้อมสามารถ ซึมเข้าสู่เส้นใย ได้ เมื่อโดนอากาศจะ ถูกออกซิไดซ์ กลับเป็นรูปสีเข้มที่ไม่ละลายน้ำและติดแน่นในเส้นใย
COVALENT BOND
โค-เว-เลินท์ บอนด์
พันธะโควาเลนต์ → พันธะที่เกิดจากการ แชร์อิเล็กตรอนร่วมกัน เป็นพันธะเคมีที่ แข็งแรงและถาวรที่สุด ในการย้อมผ้า →ทำให้ Reactive Dye ติดทนถาวร กับเส้นใยฝ้าย
−SO3−​
(Sulfonate group)
ซัล-โฟ-เนต กรุ๊ป
หมู่ซัลโฟเนต → หมู่เคมีที่มักพบในสีย้อม (เช่น Acid/Direct/Reactive Dye) → มีคุณสมบัติทำให้สีย้อมมี ประจุลบ (–) และ ละลายน้ำได้ดี
−NH3+​
(Protonated amine group)
โพร-โท-เน-เต็ด อะ-มีน กรุ๊ป
หมู่แอมโมเนียม → หมู่ที่เกิดจาก Amine group (–NH2​) บนเส้นใยโปรตีน (Wool, Silk) หรือไนลอน เมื่ออยู่ในสภาวะกรด →ทำให้เส้นใยมี ประจุบวก (+) พร้อมที่จะจับกับ Acid Dye
ELECTROLYTE
อิ-เล็ก-โทร-ไลต์
อิเล็กโทรไลต์ → สารที่แตกตัวเป็นไอออน (Na+,Cl−) เมื่อละลายน้ำ → ในการย้อมผ้าจะใช้เพื่อ ควบคุมความเร็วและปริมาณการย้อม โดยเฉพาะการย้อมฝ้ายด้วยสีย้อมที่มีประจุลบ


DYE METHOD

วิธีการย้อม คือ ขั้นตอน/ช่วงเวลาที่นำเส้นใยหรือผ้าไปย้อม

ประเภทความหมายความคงทนของสี / คุณสมบัติ
SOLUTION DYE
(Dope Dyed)
โซลูชัน-ดาย (โดป-ดายด์)
ผสม pigment ลงใน polymer melt ก่อนปั่นเส้นใย สีฝังในโครงสร้าง ทน UV, ซัก, คลอรีน และสภาพกลางแจ้งสูงสุด ใช้กับ outdoor fabric
FIBRE DYE
ไฟเบอร์-ดาย
ย้อมตั้งแต่ยังเป็นเส้นใยก่อนปั่นได้สีที่แทรกทั่วเส้นใย เฉดสีแบบ Heather look
YARN DYE
ยาร์น-ดาย
ย้อมเป็นเส้นด้ายก่อนทอทำให้ได้ลวดลายทอชัด เช่น Tartan, Gingham, Denim
PIECE DYE
พีซ-ดาย
ย้อมทีหลัง หลังจากทอเป็นผ้าเสร็จ ต้นทุนต่ำ เหมาะกับผ้าสีพื้น แต่ความทนแสงต่ำกว่า Solution Dye
GARMENT DYE
การ์เมนท์-ดาย
ย้อมเสื้อผ้าสำเร็จรูป ได้ลุควินเทจ, ซีด, สีไม่สม่ำเสมอ (intended effect)

สรุป

  • Dye Class (Cationic, Reactive, Disperse ฯลฯ) = ชนิดของสีย้อม (ทางเคมี)
  • Dye Method (Solution dye, Yarn dye ฯลฯ) = วิธีการย้อม (ขั้นตอนผลิต)

ISO 20743

ISO 20743:2021 Textiles — Determination of antibacterial activity of textile products
คือ มาตรฐานสากลสำหรับการทดสอบคุณสมบัติต้านแบคทีเรียของสิ่งทอ

วัตถุประสงค์

ใช้สำหรับประเมิน การยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย บนสิ่งทอ ไม่ว่าจะเป็นเส้นใย, ผ้า, หรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป นิยมใช้ในการทดสอบ ผ้าต้านแบคทีเรีย เช่น ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่ต้องการคุณสมบัติ Hygienic / Easy Care, ผ้าโรงพยาบาล (Hospital textiles), Uniform / ชุดกีฬา (Sportswear), ผ้าม่าน, Upholstery ในพื้นที่สาธารณะ

วิธีการทดสอบ ISO 20743:2021 (Absorption Method)

  1. Prepare Sample — เตรียมตัวอย่างผ้า
    ขนาดตัวอย่าง: 4 × 4 cm หรือ น้ำหนัก 0.40 ± 0.05 g ต่อชิ้น
    อบฆ่าเชื้อด้วย Autoclave 121 °C นาน 15 นาที เพื่อกำจัดจุลินทรีย์เดิมบนผ้า ไม่ให้รบกวนผลการทดสอบ (ในกรณีทดสอบหลังซัก) ให้ซักเครื่อง 5 รอบที่ 30 °C โปรแกรมปกติ ตากลมให้แห้งก่อนนำมาทดสอบ
  2. Sterilisation — การฆ่าเชื้อ
    นำผ้าทดสอบ (Treated Sample) และผ้าควบคุม (Reference) ใส่หลอดทดลอง ทำการอบฆ่าเชื้อที่ 121 °C นาน 15 นาที (Autoclave) เพื่อให้แน่ใจว่าผ้าและอุปกรณ์ปลอดเชื้อก่อนเริ่มขั้นตอนการหยอดเชื้อ
  3. Inoculation — การหยอดเชื้อ
    ใช้เชื้อแบคทีเรียมาตรฐาน 2 ชนิด ตามกลุ่มแกรมหลักทั้งสอง ได้แก่ Staphylococcus aureus (ATCC 6538) → แกรมบวก (Gram +) ทำให้เกิดสิว แผลติดเชื้อ และผิวหนังอักเสบ, Klebsiella pneumoniae (ATCC 4352) → แกรมลบ (Gram –) ทำให้เกิดโรคปอดบวม หรือติดเชื้อในโรงพยาบาล
    ความเข้มข้นของเชื้อ: ประมาณ 1–3 × 10⁵ CFU/mL
    ปริมาตรที่หยอด: 0.2 mL ต่อแผ่นผ้า
    หยดเชื้อลงบนแผ่นผ้าให้ซึมเข้าเส้นใย (Absorption method)
  4. Incubation — การบ่มเชื้อ
    บ่มตัวอย่างที่อุณหภูมิ 37 ± 2 °C
    ระยะเวลา 18 – 24 ชั่วโมง (Contact time)
    เพื่อให้เชื้อสัมผัสและทำปฏิกิริยากับพื้นผิวผ้าอย่างเต็มที่
  5. Wash and Shake — การชะล้างและเขย่า
    หลังบ่มครบเวลา เติม 20 mL ของสารละลาย SCDLP (Soybean-Casein Digest + Lecithin + Polysorbate Broth) เขย่าหลอดประมาณ 1 นาทีที่อุณหภูมิห้อง เพื่อสกัดเชื้อแบคทีเรียที่หลงเหลืออยู่บนผ้าออกมาลงในน้ำยา
  6. Serial Dilution — เจือจางแบบอนุกรม
    นำน้ำยาที่สกัดเชื้อออกมา ทำการเจือจางแบบอนุกรม (10⁻¹ – 10⁻⁵)
    หยดลงบน Agar plate เพื่อเพาะเลี้ยงเชื้อ ใช้วิธี Plate Count Method ในการนับจำนวนโคโลนี (หน่วย CFU)
  7. Count — การนับค่าและคำนวณผล
    ทำการนับจำนวนเชื้อในแต่ละช่วงเวลา เพื่อคำนวณ “ค่าออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย (A)”
    โดยใช้ค่าลอการิทึม (log₁₀) ดังนี้:
    F=logCt​−logC0​→ การเจริญของเชื้อในผ้าควบคุม (Control Growth Value)
    G=logTt​−logC0​→ การเจริญของเชื้อในผ้าทดสอบ (Treated Growth Value)
    A=F−G→ ค่าออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย (Antibacterial Activity Value)

    เกณฑ์การแปลผล (Judgement Criteria)
    ระดับประสิทธิภาพ ค่า A (Antibacterial Value) ความหมาย
    Low = A < 2 ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อต่ำหรือไม่มีผล
    Significant = 2 ≤ A < 3 ยับยั้งเชื้อได้ระดับปานกลาง
    Strong A ≥ 3 ยับยั้งเชื้อได้สูงมาก (ลดจำนวนเชื้อ ≥ 10³ เท่า)

ผลทดสอบคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย (ISO 20743:2021) ตัวอย่างผ้า รหัสผ้า 90039 ผลการทดสอบก่อนซัก และ หลังซัก 5 ครั้ง

รายการทดสอบเชื้อแบคทีเรียAntibacterial Value (A)ระดับประสิทธิภาพ
ก่อนซักStaphylococcus aureus6.5Strong
Klebsiella pneumoniae6.6Strong
หลังซัก 5 ครั้งStaphylococcus aureus6.5Strong
Klebsiella pneumoniae6.5Strong

ค่า A ≥ 3 = Strong แสดงว่าผ้ามีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อได้ดีมาก ทั้งก่อนและหลังซัก ค่า A ยังคงสูงกว่า 6.5  หมายความว่า ประสิทธิภาพต้านแบคทีเรียแทบไม่ลดลงหลังซัก ผ้าสามารถ ยับยั้งการเจริญของเชื้อได้มากกว่า 99% ทั้งสองชนิดเชื้อ (S. aureus และ K. pneumoniae)

สรุปผ้า 90039-106 เป็นผ้าสำหรับม่าน

  • มี คุณสมบัติต้านแบคทีเรียระดับสูงมาก
  • ซักแล้วก็ยังคงคุณสมบัติเดิม
  • เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการสุขอนามัย เช่น บ้าน โรงแรม โรงพยาบาล หรือพื้นที่สาธารณะ

BS 5852 คืออะไร

BS 5852: Methods of test for assessment of the ignitability of upholstered seating by smouldering and flaming ignition sources. คือมาตรฐานของอังกฤษ (British Standard) สำหรับการทดสอบความสามารถในการลุกไหม้และการติดไฟของวัสดุหุ้มเฟอร์นิเจอร์ (Upholstered furniture) โดยเฉพาะผ้าหุ้มและโฟม/ฟองน้ำ (composite) เพื่อดูว่าสามารถทนต่อแหล่งกำเนิดไฟ (Ignition Sources) ต่าง ๆ ได้หรือไม่

  1. BS 5852 Part 1:1979 — ทดสอบวัสดุหุ้มนั่ง-นอนที่มี composite ด้วยแหล่งไฟจากการสูบบุหรี่ (Source 0: บุหรี่คุกรุ่น) และเปลวไฟเล็ก (Source 1: เปลวไฟจากไม้ขีดไฟจำลอง) — เหมาะสำหรับการใช้งานในที่พักอาศัย
  2. BS 5852 Part 2:1982 — ทดสอบวัสดุหุ้มนั่ง-นอนโดยใช้แหล่งไฟ Crib Ignition Sources (เช่น Crib 4–7) — เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในอาคารสาธารณะ โรงแรม โรงพยาบาล ฯลฯ ซึ่งต้องการความปลอดภัยสูงขึ้น

Ignition Sources (ตัวกำหนดระดับการทดสอบ)

  • Source 0 – Smouldering cigarette = บุหรี่คุกรุ่น (ไม่เกิดเปลวไฟ แต่มีการคุกรุ่นและความร้อน)
  • Source 1 – Simulated match flame test = เปลวไฟจำลองจากไม้ขีดไฟ (ใช้หัวพ่นก๊าซบิวเทน ขนาดเปลวไฟ ~35 mm)
  • Source 2 – Butane flame, 40 mm flame height = เปลวไฟบิวเทน ความสูง ~40 มม.
  • Source 3 – Butane flame, 70 mm flame height = เปลวไฟบิวเทน ความสูง ~70 มม.
  • Source 4 – Wooden crib 4 = กองไม้เล็ก (ไม้ยาว 40 mm, 10 sticks, 5 layers)
  • Source 5 – Wooden crib 5 = กองไม้ขนาดกลาง (ไม้ยาว 40 mm, 20 sticks, 10 layers)
  • Source 6 – Wooden crib 6 = กองไม้ใหญ่ (ไม้ยาว 80 mm, 10 sticks, 5 layers)
  • Source 7 – Wooden crib 7 = กองไม้ใหญ่มาก (ไม้ยาว 80 mm, 20 sticks, 10 layers)

Source 0–3 = ใช้ไฟเล็ก ๆ (cigarette / butane flame)

Source 4–7 = ใช้กองไม้ (cribs) ซึ่งไฟแรงและควบคุมได้แม่นยำ

หน้าตัดไม้ทุก crib = ~6.5 × 6.5 mm (เท่ากัน) สิ่งที่ต่างคือ ความยาวไม้ (40 หรือ 80 mm) และ จำนวนแท่ง/ชั้น

Source ที่เป็นที่นิยมนำมาทดสอบ Source 0, Source 1 และ Source 5

Source 0 Smouldering cigarette (บุหรี่)

  • ความหมาย: การวางบุหรี่ที่ติดไฟไว้ในร่องเบาะเพื่อดูว่าผ้า/ฟองน้ำจะติดไฟหรือคุกรุ่นต่อหรือไม่
  • ใช้ทดสอบ: ความปลอดภัยจาก บุหรี่ที่ดับไม่สนิท

Source 1 Simulated match flame test (เปลวไฟจากไม้ขีดไฟจำลอง)

  • ความหมาย: ใช้หัวพ่นก๊าซบิวเทน (butane gas burner) สร้างเปลวไฟสูงประมาณ 35–50 มม. นำไปจี้ที่รอยต่อหรือร่องเบาะเป็นเวลา 20 ± 1 วินาที เพื่อจำลองไฟจากไม้ขีดไฟ
  • ใช้ทดสอบ: ความปลอดภัยของวัสดุจากการสัมผัสกับเปลวไฟขนาดเล็ก เช่น ไม้ขีดไฟหรือไฟแช็ก

Source 5 Crib 5 test wooden crib (กองไม้เล็กจุดไฟ)

  • ความหมาย: ใช้ไม้เล็ก ๆ มาประกอบเป็นกอง (wooden crib no.5) ตามขนาดมาตรฐาน จากนั้นหยดด้วย propane-1,3-diol (สารเร่งไฟ) แล้วจุดไฟ วางลงบนเบาะหรือวัสดุทดสอบ
  • ใช้ทดสอบ: ความปลอดภัยต่อแหล่งกำเนิดไฟที่รุนแรงกว่าบุหรี่ (Source 0) หรือไฟไม้ขีด (Source 1) โดยจำลองสถานการณ์ที่มีไฟจากกองไม้เล็ก ๆ ตกลงบนเฟอร์นิเจอร์
  • มักใช้ใน: เฟอร์นิเจอร์สำหรับพื้นที่สาธารณะ (contract use) เช่น โรงแรม โรงพยาบาล ผับ บาร์ โรงภาพยนตร์ ฯลฯ ซึ่งกฎหมายและมาตรการด้านความปลอดภัยมักกำหนดให้ต้องผ่านการทดสอบนี้
ตัวอย่าง Crib 5: 20 แท่ง สูง 10 ชั้น

7 ลายทอผ้าที่ควรรู้

เมื่อเรามองผ้าหรือเสื้อผ้าที่สวมใส่ในแต่ละวัน ลายทอ (Weave Patterns) คือหัวใจสำคัญที่กำหนดทั้ง ความรู้สึกเมื่อสัมผัส ความทนทาน ความเงางาม ความนุ่ม และการใช้งานที่เหมาะสม ของผ้าผืนนั้น ลายทอแต่ละชนิดเกิดจากวิธีการสานเส้นด้ายยืน (warp) และเส้นด้ายพุ่ง (weft) ในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้ได้พื้นผิวและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน บทความนี้จะพาคุณรู้จักกับ 7 ลายทอสำคัญที่ควรรู้ เพื่อช่วยให้เข้าใจและเลือกใช้ผ้าได้อย่างเหมาะสมทั้งในงานออกแบบแฟชั่น งานตกแต่งบ้าน และการใช้งานทั่วไป

1. ลายทอแบบเรียบ (Plain Weave)

เป็นลายทอพื้นฐานที่สุด โดยทอแบบ “ด้ายพุ่งทับหนึ่ง ใต้หนึ่ง” สลับกันในทุกแถว ทำให้เกิดลวดลายตารางเล็ก ๆ ที่มีความแข็งแรงสูง ไม่ยืดหรือย้วยง่าย เนื้อผ้าจะมีพื้นผิวที่สม่ำเสมอ ทนทานต่อการสึกหรอ จึงถูกใช้มากใน ผ้าป๊อปลิน ผ้าเชิ้ต ผ้าออแกนซ่า และผ้าฝ้ายทั่วไป เหมาะกับงานที่ต้องการความแข็งแรงและง่ายต่อการดูแล

2. ลายทอตะกร้า (Basketweave)

เป็นการพัฒนาจากลายเรียบ โดยการนำ เส้นด้ายหลายเส้นมาทอคู่กัน ทั้งในด้านยืนและด้านพุ่ง ทำให้เกิดพื้นผิวคล้ายลายตะกร้าหรือลายตารางที่เด่นชัด เนื้อผ้ามีความทนทาน แต่ยังคงความนุ่มสบาย นิยมใช้ใน ผ้า Oxford สำหรับเสื้อเชิ้ต หรือผ้า Monk’s Cloth ให้ความรู้สึกเป็นงานแฮนด์เมดและมีผิวสัมผัสเฉพาะตัว

3. ลายทอทวิว (Twill Weave)

ลายทอทวิวมีลักษณะเด่นคือเส้นทแยง (Diagonal Ribs) เกิดจากการทอแบบ “ด้ายพุ่งผ่านเหนือหลายเส้นด้ายยืนแล้วลอดใต้” โดยเลื่อนตำแหน่งทอในแถวต่อไป ทำให้เกิดเส้นเฉียงที่มองเห็นได้ชัด เนื้อผ้ามีความยืดหยุ่น ดรอปตัวสวย และทนทานต่อการยับ ใช้มากใน เดนิม (ยีนส์), ทวีต, กาบาร์ดีน และผ้าสำหรับสูท ให้ความรู้สึกคลาสสิกและใช้งานได้ยาวนาน

4. ลายทอซาติน (Satin Weave)

ลายทอซาตินมีลักษณะการทอที่ทำให้เกิดพื้นผิวเรียบและเงางาม โดยใช้วิธี “ด้ายพุ่งลอยอยู่เหนือเส้นด้ายยืนหลายเส้นก่อนลอดใต้หนึ่งเส้น” เพื่อให้เกิดเส้นด้ายลอยยาวบนผิวหน้า ทำให้เกิดความมันวาวและสัมผัสที่นุ่มลื่น ใช้ใน ผ้าซาตินสำหรับชุดราตรี ชุดนอน ผ้าซับในเสื้อสูท และงานหรูหรา เน้นความพลิ้วไหวและความเงางาม

5. ลายทอ Dobby (Dobby Weave)

Dobby คล้ายกับ Jacquard แต่เน้นสร้างลวดลายซ้ำขนาดเล็ก เช่น ลายตารางเล็ก ลายจุด หรือลายเส้น โดยใช้เครื่อง Dobby Loom ทำให้ผ้ามีผิวสัมผัสที่น่าสนใจและสร้างลวดลายที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ใช้ใน ผ้าเชิ้ตลำลอง ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูโต๊ะ และงานแฟชั่นที่ต้องการลายเล็ก ๆ ซ้ำ ให้รายละเอียดที่ดูใส่ใจและมีมิติ

6. ลายทอจากเครื่องจักร Jacquard (Jacquard Weave)

Jacquard คือระบบการทอที่สามารถสร้างลายซับซ้อนโดยการควบคุมเส้นด้ายยืนแยกเป็นรายเส้น ทำให้สามารถสร้างลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายดอกไม้ ลายเรขาคณิต หรือลายภาพได้บนเนื้อผ้า ใช้ใน ผ้าทอสำหรับโซฟา ผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ ผ้าบรอเคด และผ้าทอแฟชั่น เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความหรูหราและลวดลายโดดเด่น

7. ลายทอ Leno (Leno Weave)

ลายทอแบบ Leno เป็นการบิดเส้นด้ายยืนไขว้กันเพื่อยึดเส้นด้ายพุ่ง ทำให้ได้ผ้าที่มีลักษณะโปร่งหรือเป็นตาข่าย แต่ยังคงความแข็งแรง ไม่เสียรูปง่าย แม้จะมีช่องว่างมาก เหมาะกับงานที่ต้องการ ความโปร่ง ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าม่าน ผ้ากอซ หรือผ้าสำหรับหน้าร้อน ให้ความรู้สึกเบาสบายและมีมิติ

ชื่อลายทอจุดเด่น
Plain Weaveทนทาน พื้นผิวเรียบ
Basketweaveลายตารางชัด
Twill Weaveมีลายทแยง ดรอปตัวดี
Satin Weaveเงางาม พลิ้ว
Dobby Weaveลายเล็กซ้ำ
Jacquard Weaveลายซับซ้อน
Leno Weaveโปร่ง ระบายอากาศ

ทำไมต้องเข้าใจลายทอ?

การเข้าใจลายทอจะช่วยให้คุณ เลือกผ้าได้เหมาะกับงานทั้งแฟชั่นและตกแต่งภายใน และยังช่วยให้คาดเดาพฤติกรรมของผ้า เช่น ความทนทาน การยับ ความเงา การระบายอากาศ และสัมผัสได้อย่างถูกต้อง การรู้จัก 7 ลายทอนี้ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของคนที่สนใจสิ่งทอ นักออกแบบ และผู้ที่ต้องการพัฒนาความรู้เพื่อการเลือกใช้วัสดุได้อย่างมีประสิทธิภาพ