Dye Class vs Dye Method

เปรียบเทียบ Dye Class (ชนิดสีย้อม) vs Dye Method (วิธีการย้อม) ดังนี้

DYE CLASS

(ชนิดสีย้อม) คือ ประเภทของสีย้อม ที่ใช้ ตามคุณสมบัติทางเคมีของเส้นใย

ประเภทสีย้อม (Dye Class)ความหมายความคงทนของสี คุณสมบัติ
Cationic Dye (Basic Dye), 1856
William Henry Perkin (อังกฤษ)
สีย้อมประจุบวก ใช้กับเส้นใยอะคริลิก, modified polyester, cationic dyeable polyesterสีสด สว่าง ติดทน แต่ความทนแสงต่ำกว่า Disperse
Acid Dye, 1870ใช้กับเส้นใยโปรตีน (ขนสัตว์, ไหม) และไนลอนความคงทนแสงและซักสูงมาก แต่กระบวนการย้อมซับซ้อน
Vat Dye, 1901
Adolf von Baeyer (เยอรมนี)
ย้อมในสารรีดิวซ์แล้วออกซิไดซ์บนเส้นใย เช่น Indigo สำหรับเดนิมความคงทนแสงและซักสูงมาก แต่กระบวนการย้อมซับซ้อน
Disperse Dye, 1920sสีย้อมที่กระจายตัว ใช้กับโพลีเอสเตอร์, ไนลอน, อะซิเตทใช้ได้กับเส้นใยสังเคราะห์เกือบทุกชนิด ทนซักดี แต่ทนแสงปานกลาง
Reactive Dye, 1954
บริษัท ICI (อังกฤษ)
เกิดพันธะเคมีกับเส้นใยเซลลูโลส (ฝ้าย, เรยอน, ลินิน) และโปรตีน (ขนสัตว์)ความคงทนต่อการซักดีมาก สีหลุดยาก แต่ราคาสูง
Direct Dye, 1880s ใช้กับฝ้าย/เรยอน ย้อมง่าย ราคาถูก ดูดซึมตรง ๆความคงทนซักต่ำ ต้องใช้สารช่วยฟิกซ์สี

วิธีการยึดติดของสีย้อมกับเส้นใย

ประเภทวิธีติดกับเส้นใยเงื่อนไขการย้อม / สิ่งที่ช่วย
Cationic Dye
(Basic Dye)
อาศัยแรงดึงดูดประจุ (+) ของสีย้อม กับประจุลบ (–) บนเส้นใยอะคริลิกที่มีหมู่ anionicใช้น้ำอุ่น–ร้อน (80–100 °C) มักเติมเกลือ/กรดอ่อนช่วยยึด
Disperse Dyeไม่ละลายน้ำ ซึมเข้าสู่เส้นใยโพลีเอสเตอร์/ไนลอนโดยการกระจายตัวต้องใช้อุณหภูมิสูง (130 °C ขึ้นไป) จึงใช้ หม้อแรงดัน (HT dyeing) หรือ Carrier ที่ 100 °C
Reactive Dyeเกิดพันธะโควาเลนต์กับเส้นใยเซลลูโลส (ฝ้าย, เรยอน, ลินิน) และโปรตีน (ขนสัตว์)ต้องมี ด่าง (alkali เช่น โซดาแอช, NaOH) เพื่อเปิดหมู่ –OH ของฝ้ายให้ทำปฏิกิริยา
Direct Dyeดูดซับตรงเข้าสู่เส้นใยเซลลูโลส โดยอาศัยพันธะไฮโดรเจนและ Van der Waalsใช้เกลือแกง (NaCl, Na₂SO₄) เป็นตัวช่วยดันสีย้อมเข้าสู่เส้นใย อุณหภูมิ 80–100 °C
Acid Dyeอาศัยพันธะประจุ (–SO₃⁻ ของสีย้อมกับ –NH₃⁺ ของเส้นใยโปรตีน/ไนลอน)ต้องใช้น้ำ กรดอ่อน (pH 4–5) อุณหภูมิ 80–100 °C
Vat Dyeย้อมในรูปรีดิวซ์ (leuco form) ซึมเข้าเส้นใย แล้วออกซิไดซ์กลับเป็นสีย้อมไม่ละลายน้ำต้องใช้สารรีดิวซ์ (Na₂S₂O₄) + ด่าง (NaOH) และออกซิไดซ์ด้วยอากาศหรือสารเคมี

สรุปหลักการย้อมและคำศัพท์เคมีพื้นฐาน

การย้อมผ้าคือการทำให้สีย้อมเข้าไปยึดติดกับเส้นใยอย่างถาวร ซึ่งอาศัยหลักการทางเคมีที่แตกต่างกันไปตามประเภทสีย้อมและเส้นใย

หลักการ/สภาวะประเภทสีย้อมที่เกี่ยวข้องคำอธิบายหลักการย้อม
แรงประจุบวก–ลบCationic Dye (+),
Acid Dye (–)
อาศัยแรงดึงดูดระหว่างประจุไฟฟ้าตรงข้ามกัน (Ionic Bond)
ควบคุมสภาวะ กรด/ด่างAcid Dye (ต้องใช้กรด), Reactive Dye (ต้องใช้ด่าง)สภาวะ pH ที่เหมาะสมจะช่วยเปิดหมู่ฟังก์ชันในเส้นใยหรือทำให้สีย้อมทำปฏิกิริยาได้
รีดิวซ์ + ออกซิไดซ์Vat Dyeต้องเปลี่ยนรูปสีย้อมที่ไม่ละลายน้ำให้เป็นรูปละลายน้ำได้ (Leuco form) ก่อน จึงค่อยเปลี่ยนกลับเป็นรูปไม่ละลายน้ำในเส้นใย
พันธะโควาเลนต์Reactive Dyeการสร้างพันธะเคมีถาวรระหว่างสีย้อมกับเส้นใย ทำให้สีติดทนทานที่สุด

คำศัพท์เคมีและสารช่วยย้อมที่สำคัญ (Auxiliary Chemicals)

สารเคมีชื่อไทย / ชื่อสามัญหน้าที่และการทำงานในการย้อม
NaClโซเดียมคลอไรด์
(Sodium Chloride) (เกลือแกง)
Electrolyte (อิเล็กโทรไลต์): ลดแรงผลักระหว่างสีย้อมประจุลบ (ส่วนใหญ่) กับเส้นใย → ช่วยดันสีย้อมให้ซึมเข้าเส้นใยฝ้าย
NaOHโซเดียมไฮดรอกไซด์
(Sodium Hydroxide)
(ด่างเข้มข้น)
ด่างควบคุม pH: ปรับสภาวะให้เป็นด่างเข้มข้น → จำเป็นสำหรับกระบวนการ รีดิวซ์ ของ Vat Dye และใช้ในการย้อม Sulfur Dye
Na₂SO₄ โซเดียมซัลเฟต
(Sodium Sulfate)
(Glauber’s salt)
Electrolyte เช่นเดียวกับ NaCl ใช้เพื่อช่วย ดันสีย้อมเข้าเส้นใย มักใช้ใน Reactive Dye และ Direct Dye บนฝ้าย
Na₂S₂O₄ โซเดียมไดไธโอไนต์
(Sodium Dithionite)
สารรีดิวซ์ (Reducing agent): ใช้เฉพาะใน Vat Dye → เปลี่ยน Vat Dye ให้เป็น Leuco form (ละลายน้ำได้)
Na₂CO₃โซดาแอช
(Sodium Carbonate)
Na₂SO₄ 

คำศัพท์เฉพาะทางเคมีสิ่งทอ

คำศัพท์ความหมายและบทบาท
Leuco formรูปที่ถูกรีดิวซ์ของสีย้อม Vat Dye (เช่น คราม) → เป็นรูปที่ ละลายน้ำได้ และ ไม่มีสี/สีจาง → ทำให้สีย้อมสามารถ ซึมเข้าสู่เส้นใย ได้ เมื่อโดนอากาศจะ ถูกออกซิไดซ์ กลับเป็นรูปสีเข้มที่ไม่ละลายน้ำและติดแน่นในเส้นใย
Covalent Bondพันธะโควาเลนต์ → พันธะที่เกิดจากการ แชร์อิเล็กตรอนร่วมกัน เป็นพันธะเคมีที่ แข็งแรงและถาวรที่สุด ในการย้อมผ้า →ทำให้ Reactive Dye ติดทนถาวร กับเส้นใยฝ้าย
−SO3−​ (Sulfonate group)หมู่ซัลโฟเนต → หมู่เคมีที่มักพบในสีย้อม (เช่น Acid/Direct/Reactive Dye) → มีคุณสมบัติทำให้สีย้อมมี ประจุลบ (–) และ ละลายน้ำได้ดี
−NH3+​ (Protonated amine group)หมู่แอมโมเนียม → หมู่ที่เกิดจาก Amine group (–NH2​) บนเส้นใยโปรตีน (Wool, Silk) หรือไนลอน เมื่ออยู่ในสภาวะกรด →ทำให้เส้นใยมี ประจุบวก (+) พร้อมที่จะจับกับ Acid Dye
Electrolyteอิเล็กโทรไลต์ → สารที่แตกตัวเป็นไอออน (Na+,Cl−) เมื่อละลายน้ำ → ในการย้อมผ้าจะใช้เพื่อ ควบคุมความเร็วและปริมาณการย้อม โดยเฉพาะการย้อมฝ้ายด้วยสีย้อมที่มีประจุลบ

ภูมิปัญญาการย้อมผ้าในอดีต

ก่อนที่ความรู้ทางเคมีสมัยใหม่จะเข้ามา มนุษย์ใช้สิ่งของจากธรรมชาติรอบตัวเพื่อการย้อมผ้า โดยอาศัยทั้ง สีจากธรรมชาติและ สารช่วยย้อม (mordant หรือกรด-ด่างธรรมชาติ) ที่หาได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

แหล่งสีย้อมธรรมชาติ

  • เปลือกไม้ ใบไม้ และรากไม้ → เช่น เปลือกประดู่ เปลือกมะเกลือ ให้สีน้ำตาล–ดำ
  • พืชให้สีฟ้า–คราม → เช่น คราม (Indigofera tinctoria) ใช้หมักให้เกิดสีน้ำเงินคราม
  • ดอกไม้และผลไม้ → เช่น ดอกคำฝอยให้สีเหลือง–ส้ม เปลือกทับทิมให้สีเหลือง
  • สัตว์บางชนิด → เช่น ครั่ง (lac dye) ที่ได้จากแมลง ให้สีแดงอมม่วง

สารช่วยย้อมจากธรรมชาติ

  • ขี้เถ้าไม้ → เมื่อนำมาละลายน้ำได้ น้ำด่างอ่อน (alkaline water) ใช้ช่วยย้อมให้สีติดดีขึ้น
  • น้ำส้มสายชู หรือน้ำหมักผลไม้เปรี้ยว → ให้สภาพเป็น กรดอ่อน ใช้ปรับสมดุลการย้อมบางชนิด
  • สารส้ม (alum) ที่หาได้จากธรรมชาติ ใช้เป็น สารช่วยยึดเกาะ (mordant) ให้สีติดทนนาน
  • เปลือกไม้ฝาด (tannin) → มีรสฝาด ใช้คู่กับสารส้มเพื่อช่วยฟิกซ์สีบนเส้นใยฝ้ายและไหม

เส้นใยที่ย้อมได้ในอดีต เส้นใยธรรมชาติเท่านั้น เช่น ฝ้าย ปอ ป่าน ไหม ขนสัตว์ เพราะเส้นใยสังเคราะห์ (โพลีเอสเตอร์, ไนลอน, อะคริลิก) เพิ่งถูกคิดค้นในยุคอุตสาหกรรมศตวรรษที่ 20 และต้องใช้สีย้อมเฉพาะทางเคมีสูง + อุณหภูมิ/แรงดันเกิน 100 °C ซึ่งชาวบ้านในอดีตไม่สามารถทำได้

  • ฝ้าย / ปอ / ป่าน (เส้นใยพืช – เซลลูโลส) → ย้อมด้วย พืชให้สี + สารฝาด (tannin) + สารส้ม (alum) + น้ำด่างจากขี้เถ้า
  • ไหม / ขนสัตว์ (เส้นใยโปรตีน) → ย้อมด้วย ครั่ง (แมลง), คราม, เปลือกไม้, ดอกไม้/ผลไม้ให้สี และใช้ กรดอ่อน (น้ำส้มสายชู, น้ำหมักผลไม้) ช่วยให้สีติด

พูดง่าย ๆ คือ: เส้นใยพืชใช้ด่าง/สารฝาดช่วยย้อม, เส้นใยสัตว์ใช้กรดอ่อน/สารส้มช่วยฟิกซ์สี


DYE METHOD

วิธีการย้อม คือ ขั้นตอน/ช่วงเวลาที่นำเส้นใยหรือผ้าไปย้อม

ประเภทความหมายความคงทนของสี / คุณสมบัติ
Solution Dye
(Dope Dyed)

โซลูชัน-ดาย (โดป-ดายด์)
ผสม pigment ลงใน polymer melt ก่อนปั่นเส้นใย สีฝังในโครงสร้าง ทน UV, ซัก, คลอรีน และสภาพกลางแจ้งสูงสุด ใช้กับ outdoor fabric
Fibre Dye
ไฟเบอร์-ดาย
ย้อมตั้งแต่ยังเป็นเส้นใยก่อนปั่นได้สีที่แทรกทั่วเส้นใย เฉดสีแบบ Heather look
Yarn Dye
ยาร์น-ดาย
ย้อมเป็นเส้นด้ายก่อนทอทำให้ได้ลวดลายทอชัด เช่น Tartan, Gingham, Denim
Piece Dye
พีซ-ดาย
ย้อมทีหลัง หลังจากทอเป็นผ้าเสร็จ ต้นทุนต่ำ เหมาะกับผ้าสีพื้น แต่ความทนแสงต่ำกว่า Solution Dye
Garment Dye
การ์เมนท์-ดาย
ย้อมเสื้อผ้าสำเร็จรูป ได้ลุควินเทจ, ซีด, สีไม่สม่ำเสมอ (intended effect)

สรุป

  • Dye Class (Cationic, Reactive, Disperse ฯลฯ) = ชนิดของสีย้อม (ทางเคมี)
  • Dye Method (Solution dye, Yarn dye ฯลฯ) = วิธีการย้อม (ขั้นตอนผลิต)

สีแบบ Heather look = สีพื้นแบบผสม (mélange effect) ที่ดูไม่เรียบเนียน แต่มีความแตกต่างเล็กน้อยในโทนสี ช่วยให้ผ้าดูมีมิติและ texture

ISO 20743

ISO 20743:2021 คือ มาตรฐานสากลสำหรับการทดสอบคุณสมบัติต้านแบคทีเรียของสิ่งทอ (Textiles — Determination of antibacterial activity of textile products)

วัตถุประสงค์

ใช้สำหรับประเมิน การยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย บนสิ่งทอ ไม่ว่าจะเป็นเส้นใย, ผ้า, หรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป นิยมใช้ในการทดสอบ ผ้าต้านแบคทีเรีย เช่น ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่ต้องการคุณสมบัติ Hygienic / Easy Care, ผ้าโรงพยาบาล (Hospital textiles), Uniform / ชุดกีฬา (Sportswear), ผ้าม่าน, Upholstery ในพื้นที่สาธารณะ

วิธีการทดสอบ ISO 20743:2021 (Absorption Method)

  1. เตรียมตัวอย่าง & เงื่อนไขก่อนทดสอบ
    • เตรียมตัวอย่างผ้า
    • น้ำหนักตัวอย่างที่ใช้ทดสอบ: 0.40 ± 0.05 g ต่อชิ้น
    • อบฆ่าเชื้อก่อนทดสอบ: Autoclave 121 °C, 15 นาที เพื่อล้างจุลินทรีย์เดิมบนผ้า ไม่ให้รบกวนผล
    • (กรณี “หลังซัก”): ซักเครื่อง 5 รอบ ที่ 30 °C โปรแกรมปกติ ตากลม แล้วค่อยทดสอบ
  2. เตรียมเชื้อแบคทีเรียมาตรฐาน
    • ใช้เชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวันและมีความหมายต่อสุขภาพ ครอบคลุมเชื้อทั้ง 2 กลุ่มหลัก คือ แบคทีเรียแบ่งเป็น แกรมบวก  และ แกรมลบ  การทดสอบกับทั้ง 2 กลุ่ม ทำให้มั่นใจว่า ผ้ามีฤทธิ์ครอบคลุมกว้าง ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
      • Staphylococcus aureus (ATCC 6538) → ตัวแทนแกรมบวก Gram-positive bacteria เชื้อที่ทำให้เกิดสิว แผลติดเชื้อ ผิวหนังอักเสบ
      • Klebsiella pneumoniae (ATCC 4352) → ตัวแทนแกรมลบ Gram-negative bacteria เชื้อที่ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ ปอดบวม ติดเชื้อในโรงพยาบาล
    • ความเข้มข้นเชื้อที่หยอด: ประมาณ 1–3 × 10⁵ CFU/mL 
    • ปริมาณที่หยอดลงผ้า: 0.2 mL ต่อแผ่นทดลอง
  3. วิธี “ดูดซับ” (Absorption method)
    • หยดเชื้อปริมาตรที่กำหนดลงบนแผ่นผ้าให้ซึมเข้าเส้นใย (จึงเรียก absorption)
      กำหนด Contact time 18–24 ชม. (ระยะให้เชื้อสัมผัสผ้า) และ Incubation 18–24 ชม. ที่ 37 ± 2 °C
  4. การนับเชื้อด้วย “Plate Count Method”
    • หลังครบเวลา นำตัวอย่างไป เพาะเลี้ยงบนเพลต แล้วนับจำนวนโคโลนี (หน่วย CFU) เพื่อดูว่าจำนวนเชื้อเพิ่ม/ลดเท่าไรเมื่อเทียบกับ “ผ้าควบคุม” (control)
  5. คำนวณค่า “ค่าออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย” A
    • มาตรฐานใช้ค่าเชิงลอการิทึม (log₁₀) เพื่อคำนวณ 3 ค่าหลัก แล้วสรุปเป็น A ดังนี้:
      • F (Growth of control) = lgCt − lgC0
        (จำนวนเชื้อบน “ผ้าควบคุม” ทันทีหลังหยอด → หลังบ่ม)
      • G (Growth of treated) = lgTt − lgC0
        (จำนวนเชื้อบน “ผ้าทดสอบ” หลังบ่ม เทียบกับค่าเริ่มของ control)
      • A (Antibacterial activity) = F − G
  6. เกณฑ์แปลผล (Judgement) มี 2 แบบการรายงานผลหลัก ๆ
    • รายงานเป็นค่า A (Antibacterial activity value) สูตรคำนวณ: A = (การเจริญของ control) − (การเจริญของตัวอย่างที่ทดสอบ)
      • A < 2 = Low
      • 2 ≤ A < 3 = Significant
      • A ≥ 3 = Strong
    • รายงานเป็นค่า Reduction (%) บางห้องแล็บ หรือบางมาตรฐานเสริม (เช่น JIS L 1902) จะรายงานเป็น % การลดลงของจำนวนเชื้อ
      • สูตร:Reduction (%)=(B−A)B×100Reduction (%)=B(B−A)​×100
      • โดย B = จำนวนเชื้อบนผ้าควบคุมหลังบ่ม, A = จำนวนเชื้อบนผ้าทดสอบหลังบ่ม
        • Reduction ≥ 99% = ต้านเชื้อได้ชัดเจน (Highly effective)
        • Reduction < 50% = ไม่มีประสิทธิภาพ

ผลทดสอบคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย (ISO 20743:2021) ตัวอย่างผ้า รหัสผ้า 90039 ผลการทดสอบก่อนซัก และ หลังซัก 5 ครั้ง

รายการทดสอบเชื้อแบคทีเรียAntibacterial Value (A)ระดับประสิทธิภาพ
ก่อนซักStaphylococcus aureus6.5Strong
Klebsiella pneumoniae6.6Strong
หลังซัก 5 ครั้งStaphylococcus aureus6.5Strong
Klebsiella pneumoniae6.5Strong

ค่า A ≥ 3 = Strong แสดงว่าผ้ามีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อได้ดีมาก ทั้งก่อนและหลังซัก ค่า A ยังคงสูงกว่า 6.5  หมายความว่า ประสิทธิภาพต้านแบคทีเรียแทบไม่ลดลงหลังซัก ผ้าสามารถ ยับยั้งการเจริญของเชื้อได้มากกว่า 99% ทั้งสองชนิดเชื้อ (S. aureus และ K. pneumoniae)

สรุปผ้า 90039-106 เป็นผ้าสำหรับม่าน

  • มี คุณสมบัติต้านแบคทีเรียระดับสูงมาก
  • ซักแล้วก็ยังคงคุณสมบัติเดิม
  • เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการสุขอนามัย เช่น บ้าน โรงแรม โรงพยาบาล หรือพื้นที่สาธารณะ

BLINDED BY LOVE Collection

BLINDED BY LOVE  ม่านม้วน มูลี่ไม้

PROPERTY F: Flame Retardant (กันไฟลาม), M: Antifungal (ยับยั้งการเกิดเชื้อรา), J: Printable (สามารถพิมพ์รูปภาพได้), S: Silver Coated (เคลือบสีเงินด้านหลังผ้า), W: Water Proof (กันน้ำ)

Wooden Blinds ม่านมู่ลี่

  • Premium Raminwood พรีเมียมรามินวู๊ด: PRW50
  • Raminwood รามินวู๊ด: RW50
  • Basswood บาสวู๊ด: BW35, BW50
  • Foamwood โฟมวู๊ด: FW35, FW50

NEW RELEASE Collection

NEW RELEASE
UNIQUE AND CREATIVE STYLE DRAPERY COLLECTION

นิว รีลิส เล่มรวมผ้าม่านที่มีสไตล์ไม่เหมือนใครและเต็มเปี่ยมด้วยความสร้างสรรค์

  • CURTAIN :

7 ลายทอผ้าที่ควรรู้

เมื่อเรามองผ้าหรือเสื้อผ้าที่สวมใส่ในแต่ละวัน ลายทอ (Weave Patterns) คือหัวใจสำคัญที่กำหนดทั้ง ความรู้สึกเมื่อสัมผัส ความทนทาน ความเงางาม ความนุ่ม และการใช้งานที่เหมาะสม ของผ้าผืนนั้น ลายทอแต่ละชนิดเกิดจากวิธีการสานเส้นด้ายยืน (warp) และเส้นด้ายพุ่ง (weft) ในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้ได้พื้นผิวและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน บทความนี้จะพาคุณรู้จักกับ 7 ลายทอสำคัญที่ควรรู้ เพื่อช่วยให้เข้าใจและเลือกใช้ผ้าได้อย่างเหมาะสมทั้งในงานออกแบบแฟชั่น งานตกแต่งบ้าน และการใช้งานทั่วไป

1. ลายทอแบบเรียบ (Plain Weave)

เป็นลายทอพื้นฐานที่สุด โดยทอแบบ “ด้ายพุ่งทับหนึ่ง ใต้หนึ่ง” สลับกันในทุกแถว ทำให้เกิดลวดลายตารางเล็ก ๆ ที่มีความแข็งแรงสูง ไม่ยืดหรือย้วยง่าย เนื้อผ้าจะมีพื้นผิวที่สม่ำเสมอ ทนทานต่อการสึกหรอ จึงถูกใช้มากใน ผ้าป๊อปลิน ผ้าเชิ้ต ผ้าออแกนซ่า และผ้าฝ้ายทั่วไป เหมาะกับงานที่ต้องการความแข็งแรงและง่ายต่อการดูแล

2. ลายทอตะกร้า (Basketweave)

เป็นการพัฒนาจากลายเรียบ โดยการนำ เส้นด้ายหลายเส้นมาทอคู่กัน ทั้งในด้านยืนและด้านพุ่ง ทำให้เกิดพื้นผิวคล้ายลายตะกร้าหรือลายตารางที่เด่นชัด เนื้อผ้ามีความทนทาน แต่ยังคงความนุ่มสบาย นิยมใช้ใน ผ้า Oxford สำหรับเสื้อเชิ้ต หรือผ้า Monk’s Cloth ให้ความรู้สึกเป็นงานแฮนด์เมดและมีผิวสัมผัสเฉพาะตัว

3. ลายทอทวิว (Twill Weave)

ลายทอทวิวมีลักษณะเด่นคือเส้นทแยง (Diagonal Ribs) เกิดจากการทอแบบ “ด้ายพุ่งผ่านเหนือหลายเส้นด้ายยืนแล้วลอดใต้” โดยเลื่อนตำแหน่งทอในแถวต่อไป ทำให้เกิดเส้นเฉียงที่มองเห็นได้ชัด เนื้อผ้ามีความยืดหยุ่น ดรอปตัวสวย และทนทานต่อการยับ ใช้มากใน เดนิม (ยีนส์), ทวีต, กาบาร์ดีน และผ้าสำหรับสูท ให้ความรู้สึกคลาสสิกและใช้งานได้ยาวนาน

4. ลายทอซาติน (Satin Weave)

ลายทอซาตินมีลักษณะการทอที่ทำให้เกิดพื้นผิวเรียบและเงางาม โดยใช้วิธี “ด้ายพุ่งลอยอยู่เหนือเส้นด้ายยืนหลายเส้นก่อนลอดใต้หนึ่งเส้น” เพื่อให้เกิดเส้นด้ายลอยยาวบนผิวหน้า ทำให้เกิดความมันวาวและสัมผัสที่นุ่มลื่น ใช้ใน ผ้าซาตินสำหรับชุดราตรี ชุดนอน ผ้าซับในเสื้อสูท และงานหรูหรา เน้นความพลิ้วไหวและความเงางาม

5. ลายทอ Dobby (Dobby Weave)

Dobby คล้ายกับ Jacquard แต่เน้นสร้างลวดลายซ้ำขนาดเล็ก เช่น ลายตารางเล็ก ลายจุด หรือลายเส้น โดยใช้เครื่อง Dobby Loom ทำให้ผ้ามีผิวสัมผัสที่น่าสนใจและสร้างลวดลายที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ใช้ใน ผ้าเชิ้ตลำลอง ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูโต๊ะ และงานแฟชั่นที่ต้องการลายเล็ก ๆ ซ้ำ ให้รายละเอียดที่ดูใส่ใจและมีมิติ

6. ลายทอจากเครื่องจักร Jacquard (Jacquard Weave)

Jacquard คือระบบการทอที่สามารถสร้างลายซับซ้อนโดยการควบคุมเส้นด้ายยืนแยกเป็นรายเส้น ทำให้สามารถสร้างลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายดอกไม้ ลายเรขาคณิต หรือลายภาพได้บนเนื้อผ้า ใช้ใน ผ้าทอสำหรับโซฟา ผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ ผ้าบรอเคด และผ้าทอแฟชั่น เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความหรูหราและลวดลายโดดเด่น

7. ลายทอ Leno (Leno Weave)

ลายทอแบบ Leno เป็นการบิดเส้นด้ายยืนไขว้กันเพื่อยึดเส้นด้ายพุ่ง ทำให้ได้ผ้าที่มีลักษณะโปร่งหรือเป็นตาข่าย แต่ยังคงความแข็งแรง ไม่เสียรูปง่าย แม้จะมีช่องว่างมาก เหมาะกับงานที่ต้องการ ความโปร่ง ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าม่าน ผ้ากอซ หรือผ้าสำหรับหน้าร้อน ให้ความรู้สึกเบาสบายและมีมิติ

ชื่อลายทอจุดเด่น
Plain Weaveทนทาน พื้นผิวเรียบ
Basketweaveลายตารางชัด
Twill Weaveมีลายทแยง ดรอปตัวดี
Satin Weaveเงางาม พลิ้ว
Dobby Weaveลายเล็กซ้ำ
Jacquard Weaveลายซับซ้อน
Leno Weaveโปร่ง ระบายอากาศ

ทำไมต้องเข้าใจลายทอ?

การเข้าใจลายทอจะช่วยให้คุณ เลือกผ้าได้เหมาะกับงานทั้งแฟชั่นและตกแต่งภายใน และยังช่วยให้คาดเดาพฤติกรรมของผ้า เช่น ความทนทาน การยับ ความเงา การระบายอากาศ และสัมผัสได้อย่างถูกต้อง การรู้จัก 7 ลายทอนี้ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของคนที่สนใจสิ่งทอ นักออกแบบ และผู้ที่ต้องการพัฒนาความรู้เพื่อการเลือกใช้วัสดุได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Roller Blinds Motor System | ระบบมอเตอร์ม่านม้วน

SOMFY RBS

มอเตอร์ม่านม้วนตัวมาตรฐานของ Somfy

ระบบการทำงานเงียบ เสียงมอเตอร์ทำงาน เบาเพียง 47 dBA

ระดับการป้องกัน IP 44

รับประกันมอเตอร์นานสูงสุดถึง 5 ปี

EPU Easy Clean

EPU (Environmental Polyurethane) Materials
ผลิตจากวัตถุดิบที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาก มีความยั่งยืนมากขึ้นและทนทาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม – ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายน้อยลง
ปล่อยสาร VOC ต่ำ – ลดการปล่อยสารระเหยที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
รีไซเคิลและย่อยสลายได้ – ออกแบบให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ง่ายขึ้น

น้ำหนัก: 480g/2m
care:
washing – do not wash
bleaching – do not bleach
drying – do not tumble dry
ironing – do not iron
dry cleaning – dry clean (wipe it with a towel or use a leather deep cleaner)

Artificial Leather with Backbonding เคลือบสาร easy clean ทำให้ลดการเกาะติดของสิ่งสกปรก คราบน้ำมัน น้ำ หมึก และรอยเปื้อนต่าง ๆได้

“Easy Clean” ในหนังเทียมเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้พื้นผิวของหนังเทียมสามารถเช็ดล้างสิ่งสกปรกได้ง่ายขึ้น โดยป้องกันการซึมของของเหลวและสิ่งสกปรกลงไปในเนื้อวัสดุ หลักการทำงานของเทคโนโลยีนี้ขึ้นอยู่กับสารเคลือบพิเศษที่ใช้ในการผลิต ซึ่งมีหลายประเภท เช่น

1. สารเคลือบที่ใช้ในเทคโนโลยี Easy Clean

  • สารเคลือบโพลีเมอร์ (Polymer Coating): เช่น Polyurethane (PU) หรือ Acrylic ซึ่งช่วยให้พื้นผิวมีความลื่น ลดแรงเสียดทานของคราบสกปรก ทำให้สามารถเช็ดออกได้ง่าย
  • นาโนเทคโนโลยี (Nanocoating): ใช้อนุภาคนาโนเพื่อสร้างชั้นฟิล์มที่ป้องกันการยึดเกาะของคราบน้ำมันและฝุ่น
  • สารเคลือบฟลูออโรโพลีเมอร์ (Fluoropolymer Coating): มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ (Hydrophobic) และไม่ชอบน้ำมัน (Oleophobic) ทำให้ของเหลวไม่สามารถซึมผ่านหรือเกาะติดพื้นผิวได้

2. วิธีการเคลือบ Easy Clean บนหนังเทียม

  • กระบวนการ Top Coating: สารเคลือบ Easy Clean ถูกนำมาเคลือบเป็นชั้นบนสุดของหนังเทียม โดยผ่านกระบวนการ Spray Coating หรือ Roll Coating
  • ในบางกรณี เทคโนโลยี Easy Clean อาจถูก ฝังในชั้นโพลียูรีเทน ที่เคลือบด้านบน เพื่อให้คุณสมบัติป้องกันคราบสกปรกคงอยู่ได้นานขึ้น

3. ทำไม Easy Clean ถึงช่วยให้เช็ดล้างง่าย?

  • ลดการยึดเกาะของคราบสกปรก เช่น หมึกปากกา ไวน์ น้ำมัน และกาแฟ
  • กันน้ำและน้ำมัน ของเหลวจับตัวเป็นหยดและไม่ซึมเข้าเนื้อหนัง
  • เช็ดออกง่าย แม้จะใช้เพียงผ้าชุบน้ำหรือน้ำสบู่อ่อน ๆ

ข้อดีของหนังเทียม Easy Clean

ทำความสะอาดง่าย ลดการใช้สารเคมีรุนแรง
ทนต่อรอยเปื้อนและของเหลว
อายุการใช้งานยาวนานกว่าเมื่อเทียบกับหนังเทียมปกติ
เหมาะสำหรับโซฟา เก้าอี้ และเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการการดูแลรักษาน้อย

หากต้องการรายละเอียดเฉพาะของแบรนด์หรือประเภทของ Easy Clean ในหนังเทียมบางชนิด แจ้งให้ฉันทราบได้นะ!

1. สารเคลือบโพลีเมอร์ (Polymer Coating)

คืออะไร?

สารเคลือบโพลีเมอร์คือชั้นเคลือบที่ทำจากสารประกอบโพลีเมอร์ เช่น โพลียูรีเทน (PU), อะคริลิก (Acrylic), พอลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) เป็นต้น โดยถูกใช้เพื่อเพิ่มคุณสมบัติพิเศษให้กับพื้นผิว เช่น ความทนทานต่อรอยขีดข่วน การกันน้ำ และความง่ายต่อการทำความสะอาด

คุณสมบัติหลักของสารเคลือบโพลีเมอร์

 กันน้ำ: ช่วยป้องกันของเหลวซึมลงในวัสดุ
 ลดแรงเสียดทาน: ทำให้คราบสกปรกเกาะติดพื้นผิวน้อยลง
ความยืดหยุ่นสูง: ปรับตัวเข้ากับพื้นผิวได้ดี ลดการแตกร้าวของชั้นเคลือบ
 กันรอยขีดข่วน: เพิ่มอายุการใช้งานของวัสดุ
 ป้องกันรังสี UV: ช่วยลดการซีดจางของสีในหนังเทียม

วิธีการเคลือบ

  • ใช้ Spray Coating หรือ Roll Coating เคลือบลงบนวัสดุ เช่น หนังเทียม โซฟา หรือวัสดุผิวแข็ง
  • อบที่อุณหภูมิสูงเพื่อให้สารเคลือบเซ็ตตัวและติดแน่นกับพื้นผิว

การนำไปใช้งาน

หนังเทียม PU และ PVC ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์
เบาะรถยนต์และวัสดุตกแต่งภายใน
ผนังและพื้นผิวที่ต้องการความทนทานสูง


2. นาโนเทคโนโลยี (Nanocoating)

คืออะไร?

นาโนโค้ตติ้งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ อนุภาคนาโน ขนาดเล็กระดับ 1-100 นาโนเมตร เพื่อสร้างชั้นปกป้องบนพื้นผิว โดยชั้นนาโนเหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น กันน้ำ (Hydrophobic), กันน้ำมัน (Oleophobic), และลดการยึดเกาะของคราบสกปรก

คุณสมบัติหลักของนาโนโค้ตติ้ง

กันน้ำระดับสูง (Superhydrophobic): ทำให้น้ำกลิ้งออกจากพื้นผิวคล้ายใบบัว
 กันน้ำมันและคราบไขมัน (Oleophobic): ลดการเกาะติดของน้ำมันและคราบเปื้อน
 ลดไฟฟ้าสถิต: ป้องกันฝุ่นเกาะ
เคลือบบางใสมองไม่เห็น: ไม่ทำให้พื้นผิวเปลี่ยนสีหรือเนื้อสัมผัส
 ป้องกันรอยขีดข่วนและการกัดกร่อน

วิธีการเคลือบ

  • Spray Coating หรือ Dipping: ใช้พ่นหรือจุ่มชิ้นงานลงในสารนาโน
  • Plasma Coating: ใช้กระบวนการพลาสม่าเพื่อให้ชั้นนาโนยึดติดกับพื้นผิว

การนำไปใช้งาน

หนังเทียมระดับพรีเมียมและเฟอร์นิเจอร์หรู
กระจกกันฝ้าและหน้าจอมือถือ
เคลือบสีรถยนต์และเบาะรถยนต์เพื่อลดคราบน้ำ


3. สารเคลือบฟลูออโรโพลีเมอร์ (Fluoropolymer Coating)

คืออะไร?

ฟลูออโรโพลีเมอร์เป็นสารเคลือบที่มีโมเลกุลของ ฟลูออรีน (Fluorine) และคาร์บอน (Carbon) ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลแข็งแรง ทำให้เกิดคุณสมบัติพิเศษ เช่น ทนความร้อนสูง, ทนสารเคมี, และไม่ดูดซับน้ำหรือน้ำมัน

คุณสมบัติหลักของฟลูออโรโพลีเมอร์

 กันน้ำและกันน้ำมันระดับสูงมาก: พื้นผิวมีความลื่น ทำให้คราบไม่เกาะติด
 ทนต่อสารเคมีและรังสี UV: ไม่เปลี่ยนสีหรือเสื่อมสภาพเร็ว
 ทนความร้อนสูง: ใช้งานได้ในอุณหภูมิสูงถึง 260°C (เช่น PTFE – เทฟล่อน)
 ลดแรงเสียดทาน: ทำให้พื้นผิวลื่น ลดการติดของคราบฝังแน่น
 ป้องกันการเกิดเชื้อราและแบคทีเรีย

วิธีการเคลือบ

  • ใช้วิธี Spray Coating หรือ Electrostatic Coating เพื่อให้ชั้นเคลือบยึดติดกับพื้นผิว
  • อบความร้อนเพื่อให้ชั้นเคลือบเซ็ตตัวแน่น

การนำไปใช้งาน

หนังเทียมกันเปื้อนระดับสูง
อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ (เช่น ฉนวนกันความร้อน)
กระทะเคลือบเทฟล่อน
ผ้ากันเปื้อนและเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความสะอาดสูง


สรุปความแตกต่างของสารเคลือบแต่ละประเภท

ประเภทสารเคลือบคุณสมบัติเด่นระดับกันน้ำ-กันคราบความทนทานการใช้งานหลัก
Polymer Coatingทนทาน ยืดหยุ่น กันน้ำปานกลาง-สูงปานกลางหนังเทียม เฟอร์นิเจอร์ทั่วไป
Nanocoatingเคลือบบางใส กันน้ำมัน ลดฝุ่นสูงมากสูงกระจก เบาะรถยนต์ หน้าจอมือถือ
Fluoropolymer Coatingกันน้ำและน้ำมันระดับสูงมาก ทนสารเคมีสูงที่สุดสูงมากหนังเทียมพรีเมียม อุตสาหกรรมหนัก

ถ้าคุณสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกสารเคลือบให้เหมาะกับหนังเทียมแต่ละแบบ แจ้งให้ฉันรู้ได้เลย!

ผ้าต่วน หรือผ้าซาติน


รู้จักรูปแบบการทอผ้าเสน่ห์ของผ้าซาติ

การทอผ้าเป็นกระบวนการพื้นฐานของอุตสาหกรรมสิ่งทอที่มีมาอย่างยาวนาน โดยอาศัยการสานเส้นด้ายยืน (warp) และเส้นด้ายพุ่ง (weft) เข้าด้วยกันให้เกิดเป็นผืนผ้า รูปแบบของการทอส่งผลต่อผิวสัมผัส ความทนทาน ความยืดหยุ่น และความสวยงามของผ้าโดยตรง ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับรูปแบบการทอเบื้องต้นที่สำคัญ รวมถึงผ้าซาติน ซึ่งเป็นหนึ่งในผ้าทอที่มีเอกลักษณ์และได้รับความนิยมอย่างสูงในวงการแฟชั่นและตกแต่งภายใน


1. การทอแบบธรรมดา (Plain Weave)

การทอแบบธรรมดาเป็นลายทอพื้นฐานที่สุด เส้นด้ายพุ่งจะสอดผ่านเส้นด้ายยืนแบบสลับกันทุกเส้น คล้ายตารางหมากรุก เช่น ขึ้น-ลง-ขึ้น-ลง เป็นจังหวะต่อเนื่อง ทำให้โครงสร้างผ้ามีความแน่นหนา สม่ำเสมอ และแข็งแรง ลักษณะเด่นคือผิวผ้าเรียบแต่ไม่มันวาว นิยมใช้ในผ้าฝ้าย ผ้าโพลีเอสเตอร์ ผ้าป่าน และผ้าลินิน เหมาะกับเสื้อผ้าในชีวิตประจำวันหรือผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์


2. การทอลายทแยง (Twill Weave)

การทอแบบลายทแยงมีลักษณะเด่นคือเส้นด้ายพุ่งจะสอดผ่านเส้นด้ายยืนโดยข้ามมากกว่า 1 เส้น เช่น ข้าม 2 แล้วลอด 1 เส้น ทำให้เกิดลายทแยงเฉียงบนพื้นผิวของผ้า ผ้าทแยงมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และทิ้งตัวได้ดี ลักษณะลายเฉียงทำให้ไม่เห็นรอยเปื้อนชัดเจน จึงมักใช้ทำกางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ต หรือเสื้อแจ็คเก็ต


3. การทอแบบตะกร้า (Basket Weave)

การทอแบบตะกร้าเป็นการพัฒนามาจากการทอแบบธรรมดา โดยใช้เส้นด้ายยืนและพุ่งมากกว่า 1 เส้น สานข้ามกันเป็นกลุ่ม เช่น สาน 2×2 หรือ 3×3 ทำให้ได้ผิวผ้าที่หนาและมีลักษณะคล้ายตะกร้า มีความยืดหยุ่นและความทนทานมากกว่าการทอธรรมดา ใช้ในงานตกแต่งบ้าน เช่น ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ หรือผ้าม่าน


4. การทอแบบด๊อบบี้ (Dobby Weave)

การทอแบบด๊อบบี้เป็นเทคนิคที่ใช้เครื่องทอพิเศษชื่อ “ด๊อบบี้ลูม” ซึ่งสามารถควบคุมการยกเส้นด้ายยืนแต่ละเส้นอย่างแม่นยำ ทำให้สามารถสร้างลวดลายเล็ก ๆ ที่ซับซ้อน เช่น ลายเรขาคณิต ลายจุด หรือลายดอกไม้เล็ก ๆ ได้ ผ้าด๊อบบี้จึงมีมิติเพิ่มขึ้น และให้ความรู้สึกหรูหรากว่าผ้าทอลายพื้นฐาน เหมาะสำหรับเสื้อเชิ้ต ชุดทำงาน หรือผ้าปูโต๊ะ


5. การทอแบบแจ็คการ์ด (Jacquard Weave)

การทอแบบแจ็คการ์ดเป็นการทอที่ซับซ้อนที่สุด โดยใช้เครื่องทอที่สามารถควบคุมเส้นด้ายยืนได้แบบแยกอิสระทุกเส้น ทำให้สามารถสร้างลวดลายละเอียดที่ซับซ้อน เช่น ลายดอกไม้ ลายสัตว์ หรือลายกราฟิกต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำซ้อนกันตลอดผืนผ้า ผลลัพธ์ที่ได้คือผ้าหรูหราสวยงาม นิยมใช้ในงานตกแต่ง เช่น ผ้าม่าน ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ หรือเสื้อผ้าระดับพรีเมียม


6. ผ้าซาติน (Satin Weave)

ในบรรดารูปแบบการทอทั้งหมด “ผ้าซาติน” โดดเด่นที่สุดในด้านผิวสัมผัสและความมันวาว โครงสร้างของการทอซาตินแตกต่างจากแบบอื่นตรงที่เส้นด้ายพุ่งจะลอยผ่านเส้นด้ายยืนหลายเส้น (เช่น 4 หรือ 5 เส้น) ก่อนสอดผ่านใต้น้อยเส้น (เช่น 1 เส้น) ซึ่งเรียกว่าลายทอแบบ “เส้นลอย” (float) ลักษณะนี้ช่วยให้เส้นด้ายเรียงชิดกัน ทำให้พื้นผ้าเนียนเรียบและสะท้อนแสงได้ดี

ผ้าซาตินสามารถทอได้จากเส้นใยหลากชนิด ทั้งไหมแท้ ผ้าฝ้าย เรยอน หรือโพลีเอสเตอร์ โดยเฉพาะซาตินจากไหมแท้จะให้สัมผัสนุ่มลื่นและเงางามที่สุด นิยมนำไปใช้ในงานที่ต้องการความหรูหรา เช่น ชุดราตรี ชุดนอน ผ้าปูที่นอน ผ้าม่าน หรือแม้แต่ชุดเจ้าสาว

รูปแบบการทอซาตินมีหลายแบบ เช่น

  • ซาตินแบบ 4 เส้นรัด (Four-harness satin): เส้นด้ายพุ่งลอยเหนือเส้นด้ายยืน 3 เส้น แล้วลอด 1 เส้น
  • ซาตินแบบ 5 เส้นรัด และ 8 เส้นรัด: ยิ่งจำนวนเส้นรัดมากเท่าไหร่ พื้นผ้าจะเนียนและมันวาวมากขึ้น

แม้ว่าผ้าซาตินจะสวยงาม แต่ข้อเสียคือเกิดรอยขีดข่วนง่าย และไม่ทนทานเท่าผ้าทอลายทแยงหรือทอธรรมดา จึงมักใช้ในงานที่เน้นความสวยงามมากกว่าความทนทาน


สรุป

รูปแบบการทอมีบทบาทสำคัญต่อคุณสมบัติของผ้า ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรง ความเงางาม หรือความยืดหยุ่น ตั้งแต่ลายทอธรรมดาไปจนถึงลายทอซับซ้อนอย่างแจ็คการ์ด และซาติน แต่ละแบบมีความเหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน

โดยเฉพาะผ้าซาติน ซึ่งแม้จะมีโครงสร้างที่ซับซ้อนน้อยกว่าผ้าแจ็คการ์ด แต่กลับโดดเด่นในด้านผิวสัมผัสที่เนียนเรียบและความหรูหราที่ไม่เหมือนใคร จึงยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในงานออกแบบแฟชั่นและตกแต่งภายในระดับสูง


หากต้องการรูปประกอบหรืออินโฟกราฟิกแบบแผนผังการทอแต่ละแบบด้วยก็สามารถจัดให้ได้ครับ — สนใจไหม?

วิสโคส

เส้นใยรีเจนเนอเรเต็ด (Regenerated Fibers): โครงสร้าง การผลิต และคุณลักษณะเฉพาะ

เส้นใยรีเจนเนอเรเต็ด (Regenerated Fibers) เป็นเส้นใยที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นจากวัสดุธรรมชาติ โดยเฉพาะเซลลูโลสที่ได้จากพืช เช่น เยื่อไม้ ฝ้าย หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ผ่านกระบวนการทางเคมีและกายภาพ เส้นใยเหล่านี้ผสมผสานคุณสมบัติของเส้นใยธรรมชาติเข้ากับความสามารถในการปรับแต่งของเส้นใยสังเคราะห์ จึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ตัวอย่างที่รู้จักกันดีคือ วิสโคส เรยอน โมดอล และไลโอเซลล์


กระบวนการผลิตเส้นใยรีเจนเนอเรเต็ด

การเตรียมวัตถุดิบ

แหล่งวัตถุดิบหลักได้แก่ เซลลูโลสจากไม้ไผ่ ยูคาลิปตัส ฝ้าย หรือวัสดุธรรมชาติอื่น ๆ ซึ่งจะถูกสกัดและทำให้บริสุทธิ์เพื่อเตรียมเข้าสู่กระบวนการผลิต

การผลิตสารละลาย

  • วิสโคสและเรยอน: เซลลูโลสจะถูกละลายด้วยโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) และคาร์บอนไดซัลไฟด์ (CS₂) ได้เป็นสารละลายวิสโคส
  • ไลโอเซลล์: ใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ NMMO (N-Methylmorpholine N-oxide) ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
  • เรยอนคิวปรามโมเนียม: ใช้สารละลายคิวปรามโมเนียม (Cuprammonium) ที่ประกอบด้วยคอปเปอร์ไฮดรอกไซด์และแอมโมเนีย

การขึ้นรูปเส้นใย

สารละลายเซลลูโลสจะถูกฉีดผ่านหัวฉีด (spinneret) ลงในอ่างสารตกตะกอน เช่น กรดซัลฟิวริก หรือสารละลายน้ำ เพื่อทำให้เซลลูโลสแข็งตัวกลับมาเป็นเส้นใย

การฟอกและตกแต่งเส้นใย

เส้นใยที่ได้จะผ่านการล้าง ฟอก และอบแห้ง ก่อนนำไปขึ้นรูปเป็นเส้นด้ายหรือผืนผ้า


คุณลักษณะเฉพาะของเส้นใยรีเจนเนอเรเต็ด

  • มีความนุ่มนวล ใกล้เคียงฝ้ายและไหม
  • มีความเงางามคล้ายไหม
  • ดูดซับน้ำได้ดีและระบายอากาศได้ดี
  • สวมใส่สบาย เหมาะสำหรับอากาศร้อน
  • ความแข็งแรงอยู่ในระดับปานกลาง แต่จะลดลงเมื่อเปียกน้ำ

4. หน้าตัดของเส้นใย

ลักษณะหน้าตัดของเส้นใยขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิต เช่น:

  • หน้าตัดกลม: พบในวิสโคสทั่วไป
  • หน้าตัดเป็นร่อง: เพิ่มความเงางามและแรงยึดเหนี่ยว
  • หน้าตัดพิเศษ: ในไลโอเซลล์หรือเส้นใยใหม่เพื่อปรับคุณสมบัติ

5. การนำไปใช้ในอุตสาหกรรม

เส้นใยรีเจนเนอเรเต็ดนิยมใช้ในหลากหลายสาขา เช่น:

  • เสื้อผ้าแฟชั่น และชุดชั้นใน
  • ผ้าปูที่นอน ผ้าม่าน และผ้าเฟอร์นิเจอร์
  • ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น ผ้าพันแผลและชุดผ่าตัด

6. การเปรียบเทียบเส้นใย

ประเภทเส้นใยแหล่งวัตถุดิบกระบวนการผลิตความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมคุณสมบัติเด่นตัวอย่างการใช้งาน
วิสโคสเซลลูโลสจากไม้ใช้ NaOH + CS₂ปานกลาง (ใช้สารเคมีรุนแรง)นุ่ม เงา ดูดซับดีเสื้อผ้า ผ้าม่าน
เรยอนเซลลูโลสจากไม้ใกล้เคียงวิสโคสปานกลางเงา ดูดซับดีเสื้อผ้า ผ้าตกแต่ง
ไลโอเซลล์เซลลูโลสจากไม้ใช้ NMMOสูง (กระบวนการปิด)แข็งแรง ระบายอากาศเสื้อกีฬา ผ้าทางเทคนิค
ฝ้ายใยจากพืชไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์สูงระบายอากาศดีเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว
โพลีเอสเตอร์ปิโตรเคมีสังเคราะห์จากโพลิเมอร์ต่ำทนทาน ไม่ยับง่ายเสื้อกีฬา ผ้ากันน้ำ

ชื่อสามัญและชื่อทางการค้าของเส้นใยรีเจนเนอเรเต็ด

ชื่อสามัญชื่อทางการค้า
วิสโคส (Viscose)Bemberg, Lenzing Viscose
เรยอน (Rayon)Tencel, Modal
ไลโอเซลล์ (Lyocell)Tencel
คูโปร (Cupro)Bemberg

การเปรียบเทียบกับเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์

คุณสมบัติเส้นใยรีเจนเนอเรเต็ดเส้นใยธรรมชาติ (ฝ้าย)เส้นใยสังเคราะห์ (โพลีเอสเตอร์)
แหล่งที่มาเซลลูโลสแปรรูปเซลลูโลสธรรมชาติโพลิเมอร์สังเคราะห์
การดูดซับน้ำสูงสูงต่ำ
ความแข็งแรงปานกลางสูงสูง
ความยืดหยุ่นปานกลางต่ำสูง
การระบายอากาศดีดีต่ำ
ความคงทนต่อแสงแดดปานกลางสูงสูง
การย่อยสลายทางชีวภาพได้ได้ไม่ได้

ต่อไปนี้คือบทสรุปที่รวมทั้งสองเวอร์ชันให้เข้าใจง่ายและกระชับขึ้น:


บทสรุป

เส้นใยรีเจนเนอเรเต็ด (Regenerated Fibers) เช่น วิสโคสและเรยอน เป็นเส้นใยกึ่งสังเคราะห์ที่ผลิตจากเซลลูโลสธรรมชาติผ่านกระบวนการทางเคมีและกายภาพ จึงมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเส้นใยธรรมชาติ เช่น ความนุ่ม ความเงางาม และการระบายอากาศ แต่สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะทางได้

แม้จะมีข้อดีในด้านประสิทธิภาพการใช้งาน แต่กระบวนการผลิตเส้นใยเหล่านี้ยังคงใช้สารเคมีที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการพัฒนาเส้นใยที่ใช้กระบวนการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ไลโอเซลล์ ที่ลดการใช้สารเคมีอันตราย

การเข้าใจคุณลักษณะและกระบวนการผลิตของเส้นใยรีเจนเนอเร็ตจะช่วยให้นักศึกษา นักออกแบบ และผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้วัสดุได้อย่างเหมาะสม ทั้งในด้านสมรรถนะและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญของอุตสาหกรรมสิ่งทอยุคใหม่ที่มุ่งสู่ความยั่งยืน