fbpx

Drapery Vs Clothing Fabrics

ทำไมต้องเลือกใช้ผ้าสำหรับทำผ้าม่านโดยเฉพาะ? ผ้าทั่วไปใช้แทนกันไม่ได้เหรอ?

ในสายตาของคนทั่วไป ผ้าก็คือผ้า ไม่ว่าจะเป็นผ้าสำหรับตัดเย็บเสื้อผ้าหรือผ้าสำหรับทำม่าน แต่ในความเป็นจริง ผ้าสำหรับทำม่านและผ้าตัดเสื้อผ้ามีความแตกต่างกันในหลายมิติ ทั้งเรื่องคุณสมบัติทางเทคนิค ลักษณะโครงสร้างของเนื้อผ้า รวมถึงจุดประสงค์ในการใช้งาน ซึ่งเราจะอธิบายโดยละเอียดในบทความนี้ เพื่อให้คุณเข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่ควรใช้ผ้าตัดเสื้อทั่วไปมาทำม่าน หรือในทางกลับกัน

ความแตกต่างด้าน “น้ำหนักของผ้า”

ผ้าสำหรับทำม่านโดยเฉพาะ เช่น ผ้าดิมเอาท์ (Dimout) หรือแบล็กเอาท์ (Blackout) จะมีน้ำหนักมากกว่าผ้าตัดเสื้อผ้าทั่วไป ซึ่งช่วยให้ผ้าม่านทิ้งตัวสวย ไม่พริ้วจนเกินไป และสามารถกันแสงได้ดี หากนำผ้าตัดเสื้อมาทำม่าน ผ้าม่านอาจดูบาง พริ้ว ไม่อยู่ทรง และอาจต้องซ้อนหลายชั้นจนสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

ความหนา และหน้าผ้ากว้าง

ผ้าสำหรับทำม่านมักจะมีความหนาและหน้าผ้ากว้าง ตั้งแต่ 135 -320 ซม. ซึ่งช่วยลดรอยต่อระหว่างผืนเมื่อเย็บม่าน ทำให้ม่านดูเรียบ สวย และประหยัดแรงในการตัดเย็บ ในขณะที่ผ้าตัดเสื้อส่วนใหญ่มักมีหน้ากว้างแค่ 100-150 ซม. และความหนาก็ไม่มากพอที่จะบังแสงหรือให้ความเป็นส่วนตัว

คุณสมบัติในการกันแสง

ยกตัวอย่าง ผ้า Dimout: สามารถกันแสงได้ประมาณ 80-90% เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการแสงลดน้อยลง แต่ไม่ต้องมืดสนิท เช่น ห้องนั่งเล่นหรือห้องทำงาน รวมไปถึงผ้า Blackout: กันแสงได้เกือบ 100% เหมาะสำหรับห้องนอนหรือห้องโฮมเธียเตอร์ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ไม่มีในผ้าตัดเสื้อทั่วไป

ฟังก์ชันเฉพาะของผ้าม่าน

ผ้าม่านไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ตกแต่งหน้าต่าง แต่ยังต้องตอบโจทย์เรื่อง: กันความร้อน, กันแสง UV, ลดเสียงรบกวนได้บ้างในผ้าที่มีความหนาเพียงพอ, เพิ่มความเป็นส่วนตัวสำหรับผ้าทึบและพรางสายตาแต่ยังได้แสงสว่างบางส่วนอย่างผ้าม่านโปร่ง และผ้าม่านบางผืนมีการเคลือบสารพิเศษ เช่นการกันไฟลาม เพื่อตอบสนองเรื่องความปลอดภัย กับอาคารสูง และตามอาคารสาธาณะต่างๆ ได้แก่ โรงพยาบาล เป็นต้น หรือมีทอแบบพิเศษแบบต่างๆ ซึ่งผ้าตัดเสื้อมีแนวทางในการพัฒนาไปในแนวทางที่ตอบสนองตวามสบาย และความสวยงสวของผู้สวมใส่เป็นหลัก

แล้วใช้ผ้าตัดเสื้อมาทำม่านได้ไหม?

ตอบ: ทำได้ แต่อาจต้องยอมรับว่า:

  • ประสิทธิภาพการกันแสงจะต่ำมาก
  • ต้องเย็บซับหลายชั้นเพื่อให้หนาพอ ซึ่งสิ้นเปลือง
  • อายุการใช้งานสั้น เพราะผ้าตัดเสื้อไม่ทนแดดเท่าผ้าม่าน

แล้วถ้านำ “ผ้าม่านไปตัดเสื้อ” ล่ะ? ได้ไหม?

ตอบ: โดยทั่วไป “ไม่เหมาะสม” เพราะผ้าม่านมีความแข็ง หนา หนัก ระบายอากาศได้น้อย ใส่ไม่สบาย และอาจระคายเคืองผิว โดยเฉพาะผ้า Blackout ที่มีชั้นเคลือบอยู่ด้านหลัง

จากที่กล่าวมาแม้ผ้าจะดูเหมือนกัน แต่เบื้องหลังการออกแบบและวัตถุประสงค์การใช้งานนั้นต่างกันอย่างมาก การเลือกใช้ผ้าสำหรับทำม่านโดยเฉพาะจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทั้งในด้านความสวยงาม ฟังก์ชัน และอายุการใช้งาน

หากต้องการผ้าม่านที่ดูดี มีคุณภาพ และใช้งานได้ยาวนาน ควรเลือกใช้แบรนด์ผ้าม่านมีที่คุณภาพอย่าง NITAS TESSILE ที่เราได้คัดสรร นำเข้ามาจากทั่วโลก เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสได้ใช้ผ้าม่านที่จะทำให้บ้านของคุณดูสมบูรณ์แบบในทุกมิติ


เตรียมสายไฟอย่างไร ถ้าต้องการติดม่านมอเตอร์

การเตรียมตัวสำหรับการติดตั้ง Motorized Curtain Track และ Motorized Roller Blind

ในการติดตั้งระบบม่านมอเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น รางม่านไฟฟ้า (Motorized Curtain Track) หรือ ม่านม้วนไฟฟ้า (Motorized Roller Blind) สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเตรียมระบบไฟฟ้าไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะการเดินสายไฟใต้ฝ้าเพดาน เพื่อให้สามารถจ่ายไฟให้กับมอเตอร์ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

รางม่านไฟฟ้า (Motorized Curtain Track)

สำหรับรางม่านไฟฟ้า (Motorized Curtain Track) มีทั้งแบบเดินสายไฟใต้ฝ้าเพดาน WT (Wired Technology) ระบบเดินสายไฟ เพื่อให้สามารถจ่ายไฟให้กับมอเตอร์ และแบบ WireFree Somfy เทคโนโลยีมอเตอร์ไร้สาย ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ 


 ม่านม้วนไฟฟ้า (Motorized Roller Blind)

สำหรับม่านม้วนไฟฟ้า (Motorized Roller Blind) ต้องมีการเดินสายไฟใต้ฝ้าเพดาน เพื่อให้สามารถจ่ายไฟให้กับมอเตอร์


จุดที่ต้องเตรียม:

  • เดินสายไฟจากจุดจ่ายไฟหลักไปยังตำแหน่งที่จะติดตั้งมอเตอร์ โดยระบุว่า จะอยู่ทางซ้ายหรือขวาของตัวรางม่าน
  • ควรทิ้งสายไฟให้ยาวพอสมควร เผื่อสำหรับการเชื่อมต่อภายหลัง (ประมาณ 30–50 ซม.)
  • ขนาดสายไฟต้องไม่เล็กกว่า 1.5 sq.mm. เพื่อรองรับโหลดของมอเตอร์
  • ควรติดตั้งโดยช่างไฟฟ้าที่ชำนาญ

ย้ำว่านับเป็น ตารางมิลลิเมตรนะ ไม่ได้วัดเส้นผ่านศูนย์กลางของหน้าตัดเส้นทองแดง ฉนั้นมันก็จะวัดยากๆ หน่อย แบบส่วนใหญ่แบบสายที่เป็นแกนเดียวเลยจะมีขนาดเล็กกว่าแบบเกลียวนิดนึงด้วย

แล้วสายไฟแบบไหนแนะนำสำหรับการรอยใต้ฝ้าเพื่อเตรียมสำหรับต่อกับ มอเตอร์?

สายไฟแบบต่าง ๆ ที่ใช้ในงานระบบมอเตอร์ม่าน

สายไฟในท้องตลาดมีหลายชนิด โดยแต่ละชนิดจะเหมาะกับการใช้งานต่างกัน ข้างล่างนี้คือสายไฟที่มักถูกพูดถึงในการติดตั้งระบบภายในอาคาร พร้อมคำอธิบายย่อและคุณสมบัติ

ชนิดสายย่อมาจากคุณสมบัติเหมาะสำหรับ
NYYNYLON sheathed with PVC Insulated Wireสายกลม แข็งแรง มีชั้นฉนวนหนา ทนทานต่อการใช้งานกลางแจ้งและใต้ดินเดินสายไฟฟ้าทั่วไปในอาคาร โรงงาน, เดินฝังดิน (ควรร้อยท่อ)
NYY-GNYLON sheathed with PVC Insulated Wire with Groundเหมือน NYY แต่มีสายกราวด์ (Ground) เพิ่มมางานที่ต้องการสายกราวด์เพิ่มความปลอดภัย เช่น ระบบไฟฟ้ากำลัง
ชนิดสายย่อมาจากคุณสมบัติเหมาะสำหรับ
VAFVinyl Insulated Flat Cordสายแบน หุ้มฉนวนพีวีซี 2 ชั้น มีสายทองแดงเส้นเดียวงานเดินสายในอาคารใต้ฝ้าเพดาน หรือร้อยท่อในอาคาร
VAF-GVinyl Insulated Flat Cord with Ground Wireแบบเดียวกับ VAF แต่มีสายดินเพิ่มใช้ในอุปกรณ์ที่ต้องการสายดิน เช่น มอเตอร์
ชนิดสายย่อมาจากคุณสมบัติเหมาะสำหรับ
VFFVinyl Insulated Flexible Cordสายแบนเส้นคู่ แบบอ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านทั่วไป เช่น โคมไฟ, พัดลม, หม้อหุงข้าว
ชนิดสายย่อมาจากคุณสมบัติเหมาะสำหรับ
VCTVinyl Insulated Circular Twin Cordสายกลม มี 2-3 แกน แบบอ่อนเครื่องจักร, อุตสาหกรรม
ใช้ภายในและภายนอก
VCT-GVinyl Insulated Circular Twin Cord with Ground Wireแบบเดียวกับ VCT แต่มีสายดินเพิ่มเครื่องจักรที่ต้องการสายดิน, งานไฟฟ้าอุตสาหกรรม
ชนิดสายย่อมาจากคุณสมบัติเหมาะสำหรับ
VSFVinyl Insulated Single Flexible Cordเส้นเดียว แบบอ่อนงานต่อวงจรเล็ก, ใช้ภายในเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก
ชนิดสายย่อมาจากคุณสมบัติเหมาะสำหรับ
THWThermoplastic Heat and Water-resistant Wireสายเดี่ยว หุ้ม PVC ทนความร้อนและความชื้นใช้เดินสายภายในผนังหรือท่อร้อยสาย ทนความชื้นสูง

แนะนำสายไฟที่เหมาะกับม่านมอเตอร์

สำหรับงานติดตั้งม่านมอเตอร์ที่ต้องการความปลอดภัยสูง แนะนำสายไฟดังนี้:

  • ขนาด: อย่างน้อย 1.5 sq.mm. (ถ้าใช้หลายชุด หรือระยะทางไกล อาจพิจารณาใช้ 2.5 sq.mm.) และต้องมีสายกราวด์
  • ชนิดที่แนะนำ: THW: หากต้องการเดินสายผ่านท่อ หรือภายในผนัง 3 เส้น

หลีกเลี่ยงการใช้สาย VFF หรือ VSF สำหรับโหลดมอเตอร์ถาวร เพราะเป็นสายอ่อนที่ไม่รองรับกำลังไฟฟ้าสูงและไม่ทนความร้อนเท่าสายที่ออกแบบมาสำหรับงานติดตั้งถาวร


สายไฟ THW ตาม มาตรฐาน มอก. 11-2553 

ของประเทศไทย มีข้อกำหนดเรื่อง “สีของเปลือกฉนวน” เอาไว้ชัดเจน เพื่อให้สามารถแยกหน้าที่ของสายได้สะดวกและปลอดภัย


สรุปสายไฟที่เหมาะกับม่านมอเตอร์

  • กำหนดตำแหน่ง: เดินสายไฟจากจุดจ่ายไฟหลักไปยังตำแหน่งที่จะติดตั้งมอเตอร์ โดยระบุว่า จะอยู่ทางซ้ายหรือขวาของตัวรางม่าน เพื่อการสั่งผลิตจะได้วางในตำแหน่ง ซ้ายหรือขวา สอดคล้องกัน
  • ขนาดสายไฟ: อย่างน้อย 1.5 sq.mm. (ถ้าใช้หลายชุด หรือระยะทางไกล อาจพิจารณาใช้ 2.5 sq.mm.) และต้องมีสายกราวด์ และควรทิ้งสายไฟให้ยาวพอสมควร เผื่อสำหรับการเชื่อมต่อภายหลัง (ประมาณ 30–50 ซม.)
  • ชนิดสาายไฟที่แนะนำ: THW: สายผ่านท่อ หรือเดินสายใต้ฝ้า 3 เส้น ได้แก่
    • L สีน้ำตาล
    • N สีฟ้า
    • G สีเขียวแถบเหลือง

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รางม่านมอเตอร์ SOMFY กับความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตในบ้าน

ดูตัวอย่างเล่ม Roller Blinds by Nitas Tessile

ดูเล่มตัวอย่าง Wooden Blinds by Nitas Tessile

SOFA SO GOOD Collection

SOFA SO GOOD: Upholstery Collection
เล่มที่รวบรวมผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ที่มากที่สุด และดีที่สุดแห่งปี
Enjoy it ^ ^


Light Block Fabrics

เลือกผ้าม่านให้เหมาะสม: เปรียบเทียบระดับการกันแสงของผ้าแต่ละประเภท

การเลือกผ้าม่านให้เหมาะสมกับการใช้งาน ควรพิจารณาความสามารถในการกันแสง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่:

1. ม่านโปร่ง (Sheer Fabric)

  • Light Block 10-30% (ป้องกันแสงน้อยมาก)
  • เนื้อผ้าบาง โปร่งแสง ให้แสงธรรมชาติเข้ามา
  • มองเห็นวิวภายนอกได้บางส่วน มีโครงสร้างผ้าที่ทอหลวมกว่าม่านปกติ
  • นิยมใช้ร่วมกับม่านทึบเพื่อความสวยงามและปรับระดับแสงได้

2. ม่านปกติ (Curtain Fabric)

  • Light Block 40-70% (ป้องกันแสงปานกลาง)
  • บังแสงได้มากกว่าม่านโปร่ง แต่ยังคงให้แสงผ่านได้บางส่วน มีโครงสร้างผ้าที่ทอเน้นกว่าม่านโปร่ง
  • ช่วยลดความร้อนและเพิ่มความเป็นส่วนตัว

3. ม่านกันแสง (Dim-out Fabric)

  • Light Block 60-90% (ป้องกันแสงมาก แต่ยังมีแสงรอดผ่านเล็กน้อย)
  • กันแสงได้ดี แต่ไม่ถึงขั้นปิดกั้นแสงสนิท โดย การทอเส้นด้ายสีดำ (Dope-Dyed Yarn) แทรกในเนื้อผ้า ซึ่งทำหน้าที่ดูดซับแสง ช่วยเพิ่มความสามารถในการป้องกันแสง ทำให้แสงลอดผ่านน้อยลง
  • เหมาะสำหรับห้องนั่งเล่นหรือห้องทำงานที่ต้องการลดแสงแต่ไม่ให้มืดเกินไป

4. ม่านทึบแสง (Blackout Fabric)

  • Light Block 100% (ปิดกั้นแสงสนิท)
  • การเคลือบกันแสงเพื่อป้องกันแสงลอดผ่าน
    • Foam-white coat – ชั้นเคลือบโฟมสีอ่อนช่วยสะท้อนแสงและความร้อนเป็นชั้นนอกสุด
    • Foam-back coat – ชั้นโฟมสีดำที่ช่วยดูดซับแสง ป้องกันการลอดผ่านของแสงได้ 100%
    • Foam-white coat – ชั้นเคลือบโฟมสีขาวเป็นชั้นในสุดติดกับเนื้อผ้า ที่ใช้สีขาวเพราะจะไม่ทำให้ผ้าที่เพี้ยน สีผ้าหม่นๆ เข้มขั้น ถ้าเคลือชั้นติดกับผ้าเป็นชั้นโฟมสีดำเลย
    • Fabric – นิยมใช้เนื้อผ้าที่เนื้อบางๆ เพื่อเวลาสัมผัสหลังเคลือบชั้นโฟมแล้วจะไม่รู้สึกแข็งกระด้างเกินไปและเพื่อความสวยงาม
  • เหมาะสำหรับห้องนอนและโฮมเธียเตอร์ที่ต้องการความมืดสนิท

สรุปการเลือกใช้ผ้าม่านตามระดับการกันแสง:

  • ม่านโปร่ง → ปล่อยให้แสงผ่านมากที่สุด (Light Block 10-30%)
  • ม่านปกติ → กรองแสงระดับปานกลาง (Light Block 40-70%)
  • Dim-out → กรองแสงได้มากขึ้น (Light Block 60-90%)
  • Blackout → ปิดกั้นแสงเกือบทั้งหมด (Light Block 100%)

การเลือกผ้าม่านที่เหมาะสมช่วยให้สามารถควบคุมแสงในห้องได้ดีขึ้น ทั้งยังเพิ่มความสะดวกสบายและบรรยากาศที่ต้องการให้กับพื้นที่ และทิศทางของบ้านของคุณ


Polyester VS PET

Polyester ในเสื้อผ้ากับ Polyethylene Terephthalate (PET) ในขวดพลาสติกคือพลาสติกชนิดเดียวกันหรือไม่?

Polyester และ Polyethylene Terephthalate (PET) เป็นวัสดุที่มีองค์ประกอบทางเคมีเหมือนกันในระดับโมเลกุล เนื่องจากทั้งสองเป็นพอลิเมอร์ประเภทเดียวกัน แต่มีการใช้งานและกระบวนการผลิตที่แตกต่างกันตามลักษณะการใช้งานของผลิตภัณฑ์ปลายทาง

โครงสร้างทางเคมีของ PET และ Polyester

Polyethylene Terephthalate (PET) และ Polyester เป็นพอลิเมอร์ชนิดเดียวกันที่มีโครงสร้างทางเคมีเหมือนกัน แต่ใช้ในทางที่ต่างกัน:

  • PET ใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติก เช่น ขวดน้ำและผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ เพราะมันแข็งแรง โปร่งใส และทนทานต่อสารเคมี
  • Polyester ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เช่น เสื้อผ้า พรม และอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน โดยเส้นใย Polyester ที่ทำจาก PET มีคุณสมบัติทนทาน ยืดหยุ่น และแห้งเร็ว

กระบวนการผลิตและการใช้งานที่แตกต่างกัน

แม้ว่าทั้ง PET และ Polyester จะเป็นพอลิเมอร์ชนิดเดียวกัน แต่กระบวนการผลิตและลักษณะของผลิตภัณฑ์ปลายทางมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

กระบวนการผลิตขวด PET

Polyethylene Terephthalate (PET) ถูกสร้างขึ้นโดยกระบวนการ พอลิเมอไรเซชัน (Polymerization) โดยการผสม ส่วนผสมอื่นๆ พร้อมด้วย ภายใต้ความร้อนและความดันสูง ผลลัพธ์ที่ได้คือของเหลวที่มีลักษณะคล้ายน้ำผึ้ง ซึ่งจะถูกรีดออก (Extruded) ทำให้แห้ง และตัดเป็น เม็ดพลาสติก (Plastic Pellets)

เม็ดพลาสติก (Plastic Pellets)

เม็ดพลาสติก PET เหล่านี้จะถูกนำไปขึ้นรูปเป็นขวดพลาสติกผ่านกระบวนการ ฉีดขึ้นรูป (Injection) ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่งพลาสติกใส แข็งแรง และมีเกลียวฝาขวดที่ขึ้นรูปมาเรียบร้อยแล้ว เรียกว่า พรีฟอร์ม (PET Preform) ก่อนจะถูกนำไปผ่านกระบวนการ เป่าขึ้นรูป (Blow Molding) เพื่อขยายให้เป็นขวดพลาสติกขนาดเต็มรูปแบบได้รูปทรงที่แข็งแรง ทนทาน และเหมาะสำหรับการบรรจุของเหลว

พรีฟอร์ม (PET Preform)
กระบวนการ เป่าขึ้นรูป (Blow Molding)


การผลิตเส้นใย Polyester

  1. กระบวนการ Melt Spinning – เริ่มจาก เม็ดพลาสติก PET ถูกหลอมที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดหลอมเหลว MP (Melting Point) ของ PET ที่มีจุดหลอมเหลวประมาณ 250-260°C และรีดผ่าน Spinnerets เพื่อสร้างเส้นใย และสามารถปรับรูปร่างและจำนวนรูของ Spinnerets เพื่อให้ได้เส้นใยที่มีคุณสมบัติต่างกัน
  2. การทำให้เย็นลง – เส้นใยจะถูกทำให้เย็นลงโดยใช้ อากาศเย็นหรือน้ำ เพื่อให้แข็งตัว
  3. การดึงเส้นใย (Drawing Process) – ก่อนนำไปปั่นเป็นเส้นด้าย เส้นใยที่แข็งตัวแล้วจะต้องถูกยืด (Drawn) เพื่อให้โมเลกุลเรียงตัวดีขึ้น ทำให้เส้นใยมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น
  4. การผลิตเส้นด้าย – เส้นใยที่ผ่านการดึงจะถูกตัดให้ได้ความยาวที่ต้องการ (ถ้าต้องการทำเป็นเส้นใยสั้น หรือ Staple Fiber) หรือปล่อยเป็นเส้นยาวต่อเนื่อง (Filament Fiber) ก่อนถูกปั่นรวมกันเป็นเส้นด้าย
  5. การทอและแปรรูป – เส้นด้ายโพลีเอสเตอร์จะถูกนำไป ทอ (Weaving) หรือถัก (Knitting) เป็นผืนผ้า และอาจผ่านกระบวนการปรับแต่งพื้นผิวเพื่อเพิ่มคุณสมบัติเช่น ความนุ่ม ความเงางาม หรือคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ

Polyester เป็นชื่อหมวดหมู่ของพลาสติก แต่ PET เป็นชื่อเฉพาะ

เปรียบเทียบง่าย ๆ เหมือนกับ “ผลไม้” และ “แอปเปิล” 

Polyester เปรียบเสมือน “ผลไม้” ซึ่งเป็นหมวดหมู่ของพอลิเมอร์ที่มีหมู่เอสเทอร์ ในขณะที่ PET คือ “แอปเปิล” ซึ่งเป็นหนึ่งในประเภทของ Polyester ที่มีโครงสร้างเฉพาะเจาะจง PET นิยมใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติก เช่น ขวดน้ำพลาสติก ภาชนะบรรจุอาหาร และฟิล์มพลาสติก

Polyester ในความหมายกว้าง ๆ หมายถึงกลุ่มของพอลิเมอร์ที่มีหมู่เอสเทอร์ และอาจรวมถึงพอลิเมอร์ชนิดอื่น ๆ ด้วย ซึ่งมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเรียก PET ว่า Polyester อาจทำให้เกิดความสับสนกับ Polyester ชนิดอื่นที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน

ในกลุ่ม Polyester นอกจาก PET (Polyethylene Terephthalate) ยังมีพอลิเมอร์ชนิดอื่น ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น:

  • Polybutylene Terephthalate (PBT) – มีคุณสมบัติทนความร้อนและทนต่อสารเคมีได้ดี มักใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การผลิตชิ้นส่วนพลาสติกที่ต้องรับแรงดันไฟฟ้าหรือการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง
  • Polytrimethylene Terephthalate (PTT) – มีคุณสมบัติยืดหยุ่นดีและสามารถทนทานต่อการยับยู่ยี่ได้ มักใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เช่น เส้นใยที่ใช้ทำผ้าและเสื้อผ้า
  • Polycyclohexylene Dimethylene Terephthalate (PCT) – มีความต้านทานต่อความร้อนสูง เช่นในการผลิตชิ้นส่วนที่ต้องทนต่ออุณหภูมิสูง
  • Polyethylene Naphthalate (PEN) – เป็นพอลิเมอร์ที่คล้ายกับ PET แต่ทนความร้อนได้ดีกว่า ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความทนทานต่อความร้อนและสารเคมี แต่ต้นทุนสูงกว่ามาก เช่น ฟิล์มสำหรับบรรจุภัณฑ์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

การรีไซเคิลและการนำกลับมาใช้ใหม่

ด้วยความที่ PET และ Polyester มีโครงสร้างทางเคมีที่เหมือนกัน PET จากขวดพลาสติกสามารถนำมารีไซเคิลเป็นเส้นใย Polyester สำหรับใช้ในการผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอได้ โดยกระบวนการนี้ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกและช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตเส้นใยสังเคราะห์ใหม่ อย่างไรก็ตาม ขวด PET ที่นำมารีไซเคิลต้องผ่านกระบวนการทำความสะอาดและแปรรูปก่อนเพื่อให้เหมาะสมกับการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

  • ทางกายภาพ: PET จะถูกเก็บรวบรวมและทำความสะอาด จากนั้นจะถูกบดเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือเม็ดพลาสติกที่สามารถนำไปหลอมและขึ้นรูปเป็นเส้นใย Polyester ใหม่ โดยไม่ต้องเติมสารเคมีใด ๆ
  • ทางเคมี: PET จะถูกแปรสภาพด้วยกระบวนการทางเคมี เช่น การสลายตัว (hydrolysis) เพื่อแยกโมเลกุลและนำไปผลิตเป็นสารตั้งต้นในการผลิต Polyester ใหม่

ในทั้งสองกระบวนการนี้ อาจมีการเติมสารปรับปรุงคุณสมบัติ เช่น การเสริมเส้นใยหรือเพิ่มความทนทาน แต่การรีไซเคิล PET เพื่อผลิตเส้นใย Polyester ใหม่ไม่สามารถทำได้ 100% ด้วย PET รีไซเคิลเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเส้นใยที่ผลิตจาก PET รีไซเคิลอาจมีคุณสมบัติที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับการใช้ PET ใหม่ ดังนั้น กระบวนการรีไซเคิลมักจะต้องผสมกับ เม็ดพลาสติกใหม่ หรือ PET ใหม่ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติและความทนทานให้กับผลิตภัณฑ์ที่ได้ โดยทั่วไปจะใช้ PET รีไซเคิลประมาณ 30-50% ผสมกับวัสดุใหม่เพื่อให้ได้เส้นใยที่มีคุณภาพสูงและเหมาะสมกับการใช้งานต่าง ๆ และเพื่อช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม.

สรุป

แม้จะเป็นพอลิเมอร์ชนิดเดียวกัน แต่ PET และ Polyester ใช้ในทางที่แตกต่างกันตามกระบวนการผลิตและการใช้งาน แต่ PET สามารถนำไปรีไซเคิลเป็นเส้นใย Polyester ได้ ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม


6 คำศัทพ์พื้นฐานเกี่ยวกับผ้า

ในการเลือกใช้ผ้าสำหรับงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดเย็บเสื้อผ้า งานตกแต่งบ้าน หรือการผลิตเฟอร์นิเจอร์ คำศัพท์เกี่ยวกับโครงสร้างและลักษณะของผ้ามีความสำคัญอย่างมาก การเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้สามารถเลือกใช้ผ้าได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับการใช้งาน บทความนี้จะอธิบายคำศัพท์สำคัญเกี่ยวกับผ้า ได้แก่ หน้าผ้า, หลังผ้า, ริมผ้า, หน้ากว้าง, น้ำหนัก, และส่วนประกอบของผ้า

1. หน้าผ้า (Right Side)

หน้าผ้าหมายถึงด้านของผ้าที่ถูกออกแบบมาให้เป็นด้านหลักสำหรับใช้งาน เช่น ด้านที่มีลวดลายชัดเจน สีสันสดใส หรือมีพื้นผิวที่สวยงาม หากเป็นผ้าทอ มักเป็นด้านที่มีการจัดเรียงเส้นด้ายให้มีความละเอียดสวยงาม หากเป็นผ้าพิมพ์ลาย หน้าผ้าจะเป็นด้านที่ลายพิมพ์คมชัดกว่าหลังผ้า การเลือกใช้หน้าผ้าให้ถูกต้องมีผลต่อรูปลักษณ์และคุณภาพของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป

2. หลังผ้า (Wrong Side)

หลังผ้าหมายถึงด้านที่ไม่ใช่ด้านหลักของผ้า มักจะมีลักษณะที่ไม่สวยงามเท่าหน้าผ้า อาจเป็นด้านที่มีเส้นด้ายยุ่งเหยิง สีไม่ชัด หรือมีลวดลายที่จางกว่าหน้าผ้า สำหรับผ้าทอบางประเภท หลังผ้าอาจมีผิวสัมผัสที่แตกต่างจากหน้าผ้าอย่างเห็นได้ชัด เช่น ผ้ากำมะหยี่ที่ด้านหนึ่งจะมีขนละเอียด ส่วนอีกด้านจะเป็นผิวเรียบ

3. ริมผ้า (Selvage)

ริมผ้าคือขอบของผ้าที่เกิดจากกระบวนการทอหรือถักทอเพื่อป้องกันไม่ให้เส้นด้ายลุ่ยออกมา ริมผ้ามักอยู่ที่ขอบด้านยาวของผ้า และอาจมีสีหรือเนื้อสัมผัสที่แตกต่างจากส่วนกลางของผ้า สำหรับผ้าที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเสื้อผ้าและเครื่องตกแต่งบ้าน ริมผ้ามักจะถูกตัดออกก่อนนำไปใช้งาน เนื่องจากอาจมีเนื้อผ้าที่หนากว่าหรือมีรอยพิมพ์ข้อมูลของโรงงานผลิต

4. หน้ากว้างของผ้า (Fabric Width)

หน้ากว้างของผ้าหมายถึงความกว้างของผ้าจากริมหนึ่งไปถึงอีกริมหนึ่ง โดยทั่วไป หน้ากว้างของผ้าจะอยู่ระหว่าง 40 นิ้ว (ประมาณ 100 ซม.) และ 60 นิ้ว (ประมาณ 152 ซม.) แต่ในบางประเภทของผ้า เช่น ผ้าสำหรับทำม่านหรือผ้าหุ้มเบาะ อาจมีหน้ากว้างมากกว่านั้น การทราบหน้ากว้างของผ้ามีความสำคัญต่อการคำนวณปริมาณผ้าที่ต้องใช้ในงานตัดเย็บหรือออกแบบผลิตภัณฑ์

5. น้ำหนักของผ้า (Fabric Weight)

น้ำหนักของผ้าเป็นค่าที่บ่งบอกถึงความหนาหรือความแน่นของเส้นด้ายที่ใช้ทอ โดยทั่วไปจะวัดเป็น กรัมต่อตารางเมตร (GSM – Grams per Square Meter) น้ำหนักของผ้าส่งผลต่อความหนาและการใช้งาน เช่น

  • ผ้าน้ำหนักเบา (ต่ำกว่า 150 GSM) เหมาะสำหรับเสื้อผ้าบางเบา เช่น ผ้าชีฟอง ผ้าคอตตอนบาง
  • ผ้าน้ำหนักปานกลาง (150-300 GSM) ใช้ทำเสื้อผ้าแนวลำลอง ผ้าคอตตอนสำหรับเสื้อเชิ้ต ผ้ายีนส์บาง หรือผ้าโพลีเอสเตอร์สำหรับงานตกแต่ง
  • ผ้าน้ำหนักมาก (มากกว่า 300 GSM) เหมาะสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ ผ้าหุ้มเบาะ ผ้ายีนส์หนา หรือผ้าสำหรับทำกระเป๋า

6. ส่วนประกอบของผ้า (Fabric Composition)

ส่วนประกอบของผ้าหมายถึงเส้นใยที่ใช้ในการผลิตผ้า ซึ่งมีผลต่อคุณสมบัติของผ้า เช่น ความนุ่ม ยืดหยุ่น ระบายอากาศ และความทนทาน ตัวอย่างของเส้นใยที่ใช้ทำผ้ามีดังนี้:

  • เส้นใยธรรมชาติ (Natural Fibers) เช่น ผ้าฝ้าย (Cotton) ผ้าลินิน (Linen) ผ้าไหม (Silk) และผ้าขนสัตว์ (Wool) ซึ่งให้สัมผัสที่นุ่มสบายและระบายอากาศได้ดี
  • เส้นใยสังเคราะห์ (Synthetic Fibers) เช่น โพลีเอสเตอร์ (Polyester) ไนลอน (Nylon) และอะคริลิก (Acrylic) ซึ่งมีความทนทานสูงและดูแลรักษาง่าย
  • เส้นใยผสม (Blended Fibers) เป็นการผสมเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์เพื่อให้ได้คุณสมบัติที่ดีขึ้น เช่น ผ้าคอตตอนผสมโพลีเอสเตอร์ ที่มีทั้งความนุ่มและความทนทานในเวลาเดียวกัน

ความเข้าใจเกี่ยวกับคำศัพท์พื้นฐานของผ้า เช่น หน้าผ้า, หลังผ้า, ริมผ้า, หน้ากว้าง, น้ำหนัก และส่วนประกอบของผ้า จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกผ้าได้อย่างเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการตัดเย็บเสื้อผ้า การตกแต่งภายใน หรือการผลิตผลิตภัณฑ์สิ่งทอ การเลือกผ้าให้ถูกต้องนอกจากจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานของผ้านั้น ๆ อีกด้วย

ขอบคุณที่ติดตามเนื้อหาดีๆ จากเรานิทัส เทสซิเล อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่นี้


GSM VS Gram

หน่วย GSM ในผ้า vs หน่วย Gram ในกระดาษ – หน่วยเดียวกันแต่ใช้งานต่างกัน

ในการเลือกใช้วัสดุทั้ง ผ้าและกระดาษ หลายคนอาจสังเกตเห็นว่ามีการใช้หน่วย GSM (Grams per Square Meter – กรัมต่อตารางเมตร) ในการบอกน้ำหนักของวัสดุ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว GSM ของผ้า และ แกรมของกระดาษ มีความหมายและผลต่อการใช้งานที่แตกต่างกัน แม้จะใช้หน่วยเดียวกัน

GSM ของผ้าคืออะไร?

GSM (Grams per Square Meter) เป็นหน่วยวัด น้ำหนักของผ้าในหน่วยกรัมต่อตารางเมตร (g/m²) หรือพูดง่ายๆ ว่า บอกถึงความหนาแน่นของเส้นใยที่ใช้ทอผ้า

  • GSM สูง → ผ้าจะหนาและหนักขึ้น ทนทานขึ้น
  • GSM ต่ำ → ผ้าจะบางและเบากว่า พลิ้วไหวมากขึ้น

ค่ามาตรฐานของ GSM ในผ้าตกแต่งบ้าน

ประเภทผ้าค่า GSM (g/m²)ลักษณะและการใช้งาน
ผ้าม่านโปร่ง
(Sheer Fabric)
80 – 150 GSMเนื้อบางเบา ให้แสงผ่านได้ ดูโปร่งโล่ง
ผ้าม่านทึบแสง
(Dimout Fabric)
200 – 350 GSMกรองแสงได้บางส่วน เหมาะกับห้องนั่งเล่น
ผ้าม่านกันแสง
(Blackout Fabric)
350 – 500 GSMป้องกันแสงแดด 90-100% เหมาะกับห้องนอน
ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์
(Upholstery Fabric)
300 – 600 GSMหนา ทนทาน กันการขีดข่วนและแรงดึง

ค่า GSM มีผลต่อความหนา ทิ้งตัว และความทนทานของผ้า
GSM สูง = ผ้าหนาและทึบ | GSM ต่ำ = ผ้าบางและโปร่ง

Gram ของกระดาษคืออะไร?

Gram (แกรม) ของกระดาษ เป็นหน่วยวัด น้ำหนักของกระดาษในหน่วยกรัมต่อตารางเมตร (g/m²) เช่นเดียวกับ GSM ของผ้า แต่ในบริบทของกระดาษ แกรมไม่ได้บอกถึงความหนาของกระดาษโดยตรง เพราะความหนาของกระดาษยังขึ้นอยู่กับประเภทของเยื่อกระดาษและกระบวนการผลิต

  • แกรมต่ำ → กระดาษบาง เบา และพับง่าย
  • แกรมสูง → กระดาษหนาและแข็งแรงขึ้น

ค่ามาตรฐานของแกรมในกระดาษ

ประเภทกระดาษค่าแกรม (g/m²)ลักษณะและการใช้งาน
กระดาษถ่ายเอกสาร70 – 80 g/m²บาง เบา ใช้พิมพ์เอกสารทั่วไป
กระดาษปอนด์100 – 120 g/m²ใช้พิมพ์หนังสือ รายงาน
กระดาษอาร์ตมัน / อาร์ตด้าน130 – 300 g/m²ใช้ทำโปสเตอร์ ใบปลิว นิตยสาร
กระดาษการ์ด / กล่อง250 – 400 g/m²ใช้ทำบรรจุภัณฑ์ นามบัตร กล่องสินค้า

แกรมสูงขึ้น หมายถึงกระดาษหนาและแข็งขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทึบแสงหรือแข็งแรงกว่าเสมอไป

GSM ของผ้า vs. Gram ของกระดาษ

เปรียบเทียบGSM ของผ้าGram ของกระดาษ
หน่วยวัดกรัมต่อตารางเมตร (g/m²)กรัมต่อตารางเมตร (g/m²)
วัดอะไร?น้ำหนักและความหนาแน่นของเส้นใยผ้าน้ำหนักของกระดาษ
ค่าเพิ่มขึ้นแปลว่า?ผ้าหนาและหนักขึ้นกระดาษหนาและแข็งขึ้น (แต่ไม่จำเป็นต้องหนาขึ้นเสมอไป)
ตัวอย่างค่า100-600 GSM (ผ้าม่าน, ผ้าบุ)70-400 g/m² (กระดาษ)
ผลต่อการใช้งานมีผลต่อการทิ้งตัว ความโปร่งแสง และความทนทานมีผลต่อความแข็ง ความหนา และการพิมพ์

 GSM ในผ้าหมายถึง “น้ำหนักและความหนาแน่นของเส้นใย”
แกรมของกระดาษหมายถึง “น้ำหนักของกระดาษ” ซึ่งไม่ได้บอกถึงความหนาโดยตรง

ทำไมต้องใช้ GSM ในผ้า และใช้ แกรมในกระดาษ?

เพราะ GSM ในผ้า มีผลต่อ สัมผัส น้ำหนัก และการใช้งานของผ้า ในขณะที่ แกรมในกระดาษ มีผลต่อ การพิมพ์ ความแข็งแรง และการนำไปใช้

ขอบคุณที่ติดตามเนื้อหาดีๆ จากเรานิทัส เทสซิเล อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่นี้


GSM VS Thread Count

หน่วยการนับของผ้าในงานตกแต่งที่อยู่อาศัย

การเลือกใช้ผ้าในการตกแต่งที่อยู่อาศัย

ในการเลือกใช้ ผ้าม่าน ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ หรือผ้าตกแต่งบ้าน ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพและความเหมาะสมของการใช้งานมีหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ หน่วยวัดค่าคุณสมบัติของผ้า ซึ่งโดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 หน่วยหลัก ได้แก่

  1. GSM (Grams per Square Meter) → ใช้วัดความหนาแน่นและน้ำหนักของผ้า มักใช้กับ ผ้าม่านและผ้าบุเฟอร์นิเจอร์
  2. Thread Count (TC) → ใช้วัดความละเอียดของการทอ มักใช้กับ ผ้าปูที่นอนและผ้าสำหรับการนอนหลับ

หน่วยวัดน้ำหนักของผ้าในงานตกแต่งบ้าน (GSM – Grams per Square Meter)

GSM ย่อมาจาก Grams per Square Meter หมายถึง น้ำหนักของผ้าในหน่วยกรัมต่อตารางเมตร ยิ่งค่า GSM สูง ผ้าจะยิ่งหนา แน่น และหนักขึ้น ในทางกลับกัน ค่า GSM ต่ำมักจะหมายถึงผ้าที่บางและเบากว่า

ค่ามาตรฐานของ GSM ในผ้าตกแต่งบ้าน

ประเภทผ้าGSM (กรัม/ตร.ม.)ลักษณะและการใช้งาน
ผ้าม่านโปร่ง
(Sheer Fabric)
80 – 150 GSMเนื้อบางเบา ให้แสงผ่านได้ ดูโปร่งโล่ง
ผ้าม่านทึบแสง
(Dimout Fabric)
200 – 350 GSMลดแสงบางส่วน เหมาะกับห้องนั่งเล่น
ผ้าม่านกันแสง
(Blackout Fabric)
350 – 500 GSMป้องกันแสงแดด 90-100% เหมาะกับห้องนอน
ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์
(Upholstery Fabric)
300 – 600 GSMหนา ทนทาน กันการขีดข่วนและแรงดึง
  • ค่า GSM สูง มักใช้กับผ้าที่ต้องการความทนทานและหนา เช่น ผ้าบุโซฟา ผ้าม่านกันแสง
  • ค่า GSM ต่ำ มักใช้กับผ้าที่ต้องการความพลิ้วไหว เช่น ผ้าม่านโปร่ง

หน่วยวัดความละเอียดของผ้า (Thread Count – TC)

Thread Count หรือ TC หมายถึง จำนวนเส้นด้ายที่ทอในพื้นที่ 1 ตารางนิ้วของผ้า โดยคิดรวมเส้นด้ายทั้งแนวตั้ง (warp) และแนวนอน (weft)

ค่ามาตรฐานของ Thread Count ในผ้าปูที่นอน

ประเภทผ้าThread Count (TC)คุณสมบัติ
ผ้าฝ้ายทั่วไป150 – 250 TCระบายอากาศดี ราคาไม่สูง
ผ้าปูที่นอนคุณภาพดี300 – 500 TCนุ่ม เนียน เหมาะกับการนอนสบาย
ผ้าปูที่นอนโรงแรมหรู600 – 800 TCเรียบลื่น หรูหรา สัมผัสนุ่มมาก
ผ้าไหม ผ้าลินินระดับพรีเมียม800 TC ขึ้นไปคุณภาพสูงมาก ละเอียดสุดๆ
  • ค่า TC สูง (เช่น 600 TC ขึ้นไป) ทำให้ผ้านุ่มและเรียบหรู แต่มักมีราคาสูง
  • ค่า TC ต่ำ (เช่น 200 TC) ระบายอากาศได้ดีแต่สัมผัสอาจไม่นุ่มมาก

เปรียบเทียบ GSM กับ Thread Count

แม้ว่า GSM และ Thread Count จะเป็นตัวชี้วัดคุณภาพของผ้า แต่ทั้งสองค่ามีบทบาทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

คุณสมบัติGSM
(น้ำหนักผ้า)
Thread Count
(ความละเอียดเส้นด้าย)
วัตถุประสงค์ใช้วัดความหนาและน้ำหนักของผ้าใช้วัดความละเอียดและความนุ่มของผ้า
มักใช้กับผ้าม่าน, ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ผ้าปูที่นอน, ผ้าแฟชั่น
ค่าเพิ่มขึ้นหมายถึงผ้าหนาและหนักขึ้นผ้านุ่มและเนียนขึ้น
ตัวอย่างค่า200-500 GSM
สำหรับผ้าม่าน, ผ้าบุ
300-800 TC
สำหรับผ้าปูที่นอน

ถ้าคุณต้องการเลือกผ้าสำหรับตกแต่งบ้าน → ดูที่ค่า GSM (น้ำหนักผ้า) ในการวัด GSM สูง = ผ้าหนา ทึบ ทนทาน
ถ้าคุณต้องการเลือกผ้าปูที่นอน → ดูที่ค่า Thread Count (TC) (จำนวนเส้นด้าย) ในการวัด TC สูง = ผ้านุ่ม เรียบหรู

ขอบคุณที่ติดตามเนื้อหาดีๆ จากเรานิทัส เทสซิเล อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่นี้


ผ้าม่านโปร่ง เปลี่ยนแสงบ้านคุณให้ละมุนเหมือนอยู่ในสตูดิโอ

คำพูดเหล่านี้ไม่มีอะไรเกินจริง กับคำว่า….

  • เพิ่มมิติแห่งแสงด้วยผ้าม่านโปร่ง เปลี่ยนบ้านให้ละมุนเหมือนสตูดิโอ
  • ม่านโปร่ง + ม่านทึบ: เคล็ดลับแสงนุ่มละมุนราวกับสตูดิโอถ่ายภาพ
  • แสงสวยตลอดวัน! ติดม่านโปร่งเสริมบรรยากาศอบอุ่นให้บ้าน
  • ม่านโปร่งเสริมเสน่ห์ ให้บ้านคุณมีแสงซอฟต์ตลอดเวลา
  • เปลี่ยนบ้านให้ดูแพง ด้วยเทคนิคการใช้ม่านโปร่งคู่กับม่านทึบ
  • ละมุนทุกมุมบ้าน! ใช้ม่านโปร่งเพื่อสร้างบรรยากาศแสงซอฟต์
  • บ้านสวย แสงซอฟต์ ด้วยการติดม่านโปร่งอีกชั้นอย่างมืออาชีพ
  • สตูดิโอที่บ้าน! ใช้ม่านโปร่งสร้างบรรยากาศแสงละมุน
  • ม่านโปร่ง ไอเทมลับของบ้านที่มีแสงสวยเสมอ
  • แต่งบ้านด้วยม่านโปร่ง ให้แสงละมุนราวกับถ่ายภาพในสตูดิโอ

การติดผ้าม่านโปร่ง อีกหนึ่งชั้นควบคู่ไปกับม่านหลักที่ทึบแสง ช่วยให้บรรยากาศของบ้านคุณแสงสวย เหมือนคุณอยู่ในสตูดิโอ

การเลือกใช้ผ้าม่านสำหรับตกแต่งบ้านไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของความสวยงาม แต่ยังส่งผลต่อบรรยากาศและคุณภาพของแสงภายในห้องอีกด้วย หนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้บ้านดูสว่างนุ่มนวล มีมิติ และน่าพักผ่อน คือการติดตั้งผ้าม่านโปร่ง (Sheer Curtain) อีกหนึ่งชั้นควบคู่ไปกับม่านหลักที่ทึบแสง ซึ่งจะช่วยกรองแสงธรรมชาติให้มีความละมุนมากขึ้น ราวกับคุณอยู่ในสตูดิโอที่มีไฟซอฟต์บ็อกซ์ให้แสงสวยตลอดเวลา

ม่านโปร่งช่วยสร้างบรรยากาศแสงซอฟต์อย่างไร?

  1. กระจายแสงให้ละมุนขึ้น
    ม่านโปร่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางช่วยกระจายแสงจากภายนอก ไม่ให้แสงแดดตกกระทบโดยตรงภายในห้อง ลดความแข็งกระด้างของแสง ทำให้บรรยากาศโดยรวมดูซอฟต์และอบอุ่นขึ้น
  2. สร้างความเป็นส่วนตัวโดยไม่ปิดกั้นแสง
    ในช่วงเวลากลางวัน ม่านโปร่งช่วยให้คุณได้รับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ โดยที่ยังรักษาความเป็นส่วนตัว ไม่ให้คนนอกมองเข้ามาภายในบ้านได้ชัดเจน
  3. ปรับมิติของแสงตามช่วงเวลา
    ตอนเช้าและเย็น แสงแดดที่ลอดผ่านม่านโปร่งจะมีความนุ่มนวลและช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ส่วนเวลากลางวัน ม่านโปร่งจะช่วยลดความจ้าของแสง แต่ยังคงให้ความสว่างเพียงพอโดยไม่ต้องพึ่งพาแสงประดิษฐ์มากเกินไป

เคล็ดลับการเลือกม่านโปร่งให้เหมาะกับบ้าน

  • เลือกโทนสีอ่อน เช่น สีขาว ครีม หรือสีพาสเทล เพื่อช่วยสะท้อนและกระจายแสงให้สว่างและดูนุ่มนวล
  • เลือกเนื้อผ้าที่มีความโปร่งพอดี ไม่บางจนไร้ประโยชน์ และไม่หนาจนบดบังแสงมากเกินไป
  • ติดตั้งควบคู่กับม่านทึบแสง เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนระดับความสว่างและความเป็นส่วนตัวได้ตามต้องการ

บ้านที่มีแสงซอฟต์ ดูอบอุ่น และถ่ายรูปสวยขึ้น

การเพิ่มม่านโปร่งเข้าไปเป็นอีกหนึ่งชั้น ไม่เพียงแต่ช่วยให้บ้านของคุณดูน่าอยู่ขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้แสงที่ตกกระทบภายในห้องมีความสมดุล เหมาะกับการถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็นมุมพักผ่อน มุมทำงาน หรือแม้แต่โต๊ะอาหาร คุณจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ดูละมุน สบายตา และอบอุ่นในทุกช่วงเวลา

หากคุณต้องการให้บ้านดูมีมิติของแสงที่สวยงาม ลองเลือกติดม่านโปร่งคู่กับม่านทึบ รับรองว่าผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้บ้านของคุณดูพิเศษขึ้นแน่นอน!


ต้องการดูตัวอย่างเล่มตัวอย่างผ้าม่านโปร่งของเรา คลิ๊ก!!!


NRC (Noise Reduction Coefficient) คืออะไร?

NRC (Noise Reduction Coefficient) คือ ค่าที่บอกว่าวัสดุสามารถดูดซับเสียงได้มากแค่ไหน แทนที่จะสะท้อนกลับไปในห้อง ค่านี้ใช้วัดประสิทธิภาพของวัสดุซับเสียง เช่น ผ้าม่าน ผ้าบุผนัง โฟมอะคูสติก และฉนวนกันเสียง

ค่า NRC มีช่วงเท่าไหร่ และหมายถึงอะไร?

NRC มีค่าตั้งแต่ 0.0 ถึง 1.0

  • NRC = 0.0 → ไม่ดูดซับเสียงเลย (สะท้อนเสียงทั้งหมด) เช่น ผิวโลหะ, กระจก
  • NRC = 0.5 → ดูดซับเสียงได้ 50% (สะท้อนอีก 50%) เช่น ผ้าม่านบางๆ
  • NRC = 1.0 → ดูดซับเสียงได้ 100% (ไม่มีเสียงสะท้อน) เช่น โฟมอะคูสติกหนา

ในบางกรณี NRC อาจสูงกว่า 1.0 ถ้าวัสดุดูดซับเสียงได้ดีมากในบางย่านความถี่

ตัวอย่างค่า NRC ของวัสดุต่างๆ

วัสดุค่า NRCประสิทธิภาพการดูดซับเสียง
คอนกรีต, กระจก, ไม้อัด
(Concrete, Glass, Plywood)
0.00 – 0.05แทบไม่ดูดซับเสียง
ผ้าม่านบาง
(Polyester, Cotton Fabric)
0.2 – 0.4ดูดซับเสียงได้ปานกลาง
ผ้าม่านกำมะหยี่หนา
(Velvet Fabric)
0.6 – 0.9ดูดซับเสียงได้ดีมาก
โฟมอะคูสติก 2-4 นิ้ว
(Acoustic Foam)
0.7 – 1.0ดูดซับเสียงได้ดีเยี่ยม
แผ่นใยแก้วกันเสียง 2-4 นิ้ว
(Fiberglass Acoustic Panel)
0.8 – 1.1ดูดซับเสียงยอดเยี่ยม

NRC สำคัญกับอะไร?

  • โฮมเธียเตอร์ & โรงภาพยนตร์ – ลดเสียงสะท้อน ทำให้เสียงชัดขึ้น
  • ห้องประชุม & ออฟฟิศ – ลดเสียงรบกวน ทำให้พูดคุยได้ชัดเจน
  • ร้านอาหาร & คาเฟ่ – ลดเสียงก้อง ทำให้บรรยากาศเงียบขึ้น
  • โรงแรม & สตูดิโอบันทึกเสียง – ป้องกันเสียงสะท้อนเพื่อคุณภาพเสียงที่ดี