fbpx

ได้คืบจะเอาศอก มันยาวแค่ไหนเหรอหน่อยวัดความยาวแบบไทยๆ

  • คืบ เป็นหน่วยวัดความยาวของไทย มีที่มาจากการเหยียดมือออกลงบนพื้นราบอย่างเต็มที่ หนึ่งคืบวัดจากปลายนิ้วโป้ง ไปถึงนิ้วนางหรือนิ้วก้อย แต่เนื่องจากระยะคืบของแต่ละคนไม่เท่ากัน
  • ศอก เป็นหน่วยวัดความยาวของไทย มีที่มาจากการวางแขนท่อนล่างลงบนพื้นราบ หนึ่งศอกวัดจากปลายนิ้วกลางไปจนถึงปลายข้อศอก แต่เนื่องจากระยะศอกของแต่ละคนไม่เท่ากัน
  • วา เป็นหน่วยวัดความยาวของไทย มีที่มาจากการกางแขนทั้งสองออกไปข้างลำตัวในแนวราบ หนึ่งวาวัดจากปลายนิ้วกลางของแขนข้างหนึ่ง (หรือนิ้วอื่นที่ยาวที่สุดสำหรับบางคน) ผ่านอกไปยังปลายนิ้วกลางของแขนอีกข้าง แต่เนื่องจากระยะวาของแต่ละคนไม่เท่ากัน 
    • *ในบันทึกของลาลูแบร์ระบุว่า 1 วา สั้นกว่าตัวร์ (toise) ประมาณ 1 ปูช (pouce) หรือประมาณ 1.9 เมตร ในบันทึกของบาทหลวงฌ็อง-บาติสต์ ปาลกัว นิยามว่า วา เท่ากับ ฟาทอม (fathom) หรือเท่ากับ 1.829 เมตร ส่วนในสนธิสัญญาเบาว์ริงได้ระบุว่าชาวอังกฤษและคนในบังคับจะเช่าที่ดินและซื้อบ้าน จะต้องตั้งห่างจากกำแพงพระนคร 200 เส้น คือ 4 ไมล์ เมื่อแปลงจากเส้นเป็นวา (100 เส้นเท่ากับ 2,000 วา) 1 วา จะเท่ากับ 1.6 เมตร ในสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ ค.ศ. 1833 ระบุว่า 1 วา เท่ากับ 78 นิ้ว ในระบบอังกฤษหรืออเมริกัน หรือเท่ากับ 96 นิ้ว (หน่วยความยาวไทย) หรือเท่ากับ 1.981 เมตร
  • เส้น เป็นหน่วยวัดความยาวของไทย กำหนดไว้ว่ามีความยาวเท่ากับ 20 วา แต่เนื่องจากหน่วยเส้นนี้วัดจากหน่วยวา และระยะวาของแต่ละคนไม่เท่ากัน ระยะเส้นจึงอาจคลาดเคลื่อนไปได้มาก
  • โยชน์ เป็นหน่วยวัดความยาวของไทย มีระยะเท่ากับ 400 เส้น แต่เนื่องจาก 1 เส้นถูกกำหนดให้เท่ากับ 40 เมตร

การเขียนตัวอักษรย่อ

  • คืบ ใช้อักษรย่อว่า ค.
  • ศอก ใช้อักษรย่อว่า ศ.
  • วา ใช้อักษรย่อว่า ว.
  • เส้น ใช้อักษรย่อว่า สน.
  • โยชน์ ใช้อักษรย่อว่า สน.

ตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ จึงกำหนดโดยเทียบกับระบบหน่วยเมตริก (Metric Unit)

  • 1 นิ้ว (องคุลี) เท่ากับ 0.254 เมตร (2.54 เซนติเมตร)
  • 1 คืบ เท่ากับ 0.25 เมตร (25 เซนติเมตร)
  • 1 ศอก เท่ากับ 0.5 เมตร (50 เซนติเมตร)
  • 1 วา เท่ากับ 2 เมตร
  • 1 เส้น เท่ากับ 40 เมตร
  • 1 โยชน์ เท่ากับ 16,000 เมตร (16 กิโลเมตร)

มาตราวัดความยาวของไทยกำหนดให้

  • 12 นิ้ว เท่ากับ 1 คืบ
  • 2 คืบ เท่ากับ 1 ศอก
  • 4 ศอก เท่ากับ 1 วา
  • 20 วา เท่ากับ 1 เส้น
  • 400 เส้น เท่ากับ 1 โยชน์

ผ้าต่วน หรือผ้าซาติน

ผ้าซาตินเป็นผ้าทอประเภทหนึ่งที่โดดเด่นด้วยพื้นผิวที่เรียบ มันวาว และผ้าเดรปที่ลื่นไหล มันถูกสร้างขึ้นโดยผ่านเส้นด้ายพุ่งไปบนเส้นด้ายยืนหลาย ๆ เส้นก่อนที่จะผ่านไปภายใต้เส้นด้ายยืนเส้นเดียว ทำให้เกิดเส้นลอยหรือด้ายยาวบนพื้นผิวของผ้า ซึ่งส่งผลให้โครงสร้างลายทอมีการซ้อนทับน้อยกว่าลายทอประเภทอื่น ช่วยให้ด้ายเรียงชิดกันมากขึ้นและสร้างพื้นผิวที่เรียบขึ้น ผ้าซาตินทอได้จากเส้นใยหลายชนิด เช่น ไหม ผ้าฝ้าย เรยอน และโพลีเอสเตอร์ และมักใช้สำหรับเสื้อผ้า ผ้าลินิน และเบาะ ประเภทของผ้าซาตินที่ใช้กันมากที่สุดคือผ้าซาตินแบบสี่สายรัดหรือผ้าซาตินสี่ชิ้น แต่ยังมีรูปแบบอื่นๆ เช่น ผ้าซาตินแบบห้าสายรัดและผ้าซาตินแบบแปดสายรัด

มีผ้าทอหลายประเภทที่ใช้ในการผลิตสิ่งทอ นี่คือบางประเภททั่วไป:

การทอแบบธรรมดา Plain weave: เป็นรูปแบบการทอที่ง่ายและพบได้บ่อยที่สุด โดยเส้นด้ายพุ่งผ่านและใต้เส้นด้ายยืนในแต่ละแถวสลับกัน

การทอลายทแยงTwill: การทอนี้มีลักษณะเฉพาะด้วยรูปแบบทแยงที่สร้างขึ้นโดยผ่านเส้นด้ายพุ่งเหนือเส้นด้ายยืนหนึ่งเส้นหรือมากกว่า จากนั้นภายใต้เส้นด้ายยืนสองเส้นขึ้นไป

ผ้าซาตินสาน Satin: ผ้าทอนี้มีพื้นผิวที่เรียบและเป็นมันที่สร้างขึ้นโดยการลอยเส้นด้ายพุ่งเหนือเส้นด้ายยืนหลาย ๆ เส้นแล้วสอดเข้าไปใต้เส้นด้าย

การทอแบบตะกร้า Basketweave: การทอนี้เกิดจากการสอดด้ายพุ่งสองเส้นขึ้นไปทับและใต้เส้นด้ายยืนสองเส้นขึ้นไปในรูปแบบปกติ

การทอแบบ Jacquard: นี่คือการทอที่ซับซ้อนที่ช่วยให้สามารถสร้างรูปแบบและการออกแบบที่ซับซ้อนได้โดยใช้เครื่องทอผ้าพิเศษและบัตรเจาะหรือการควบคุมแบบดิจิตอลเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายยืนและพุ่ง

  1. การทอแบบด๊อบบี้ Dobby: เป็นการทอประเภทหนึ่งที่สร้างลวดลายเรขาคณิตขนาดเล็กโดยการเลือกเพิ่มและลดเส้นด้ายยืนด้วยกลไกพิเศษที่เรียกว่าด๊อบบี้

ผ้าเจ็คการ์ด

 ผ้าเจ็คการ์ด (Jacquard Fabric)

ผ้าเจ็คการ์ด (Jacquard Fabric) เป็นชนิดของผ้าที่ถูกทอด้วยเทคนิคการทอ Jacquard ซึ่งเป็นเทคนิคการทอที่ใช้ระบบช่วยคิดเพื่อสร้างลวดลายที่ซับซ้อนและหลากหลายในผ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การทอเจ็คการ์ดนั้นจะใช้เครื่องทอที่มีสายสลับสวมใส่ที่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายได้หลากหลายและซับซ้อน เพื่อให้สามารถสร้างลวดลายต่างๆ ในผ้าได้อย่างละเอียดอ่อน ด้วยเหตุนี้ ผ้าเจ็คการ์ดมักจะมีลักษณะการทอที่มีความหนาและคุณภาพสูง และถูกนำมาใช้ในการผลิตเสื้อผ้า ผ้าม่าน ผ้าคลุมเตียง และอุปกรณ์ตกแต่งภายในบ้าน นอกจากนี้ ผ้าเจ็คการ์ดยังสามารถผสมผสานกับการใช้เทคนิคการทออื่นๆ เพื่อสร้างลวดลายที่หลากหลายและน่าสนใจในผ้าได้อีกด้วย

ในการทอเจ็คการ์ด จะใช้เครื่องทอที่มีตะขอต่อกันไว้หลายตัว เรียกว่า “ช่องจักวาร์ด” (Jacquard Loom) เพื่อสร้างลวดลายที่ซับซ้อนในผ้า แต่ละตัวจะควบคุมเส้นด้ายแต่ละเส้นในลวดลายเฉพาะ ซึ่งช่องจักวาร์ดนี้จะถูกโปรแกรมให้ทอลายละเอียดและสอดคล้องกับแบบออกแบบ โดยโปรแกรมจะคำนวณและควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายแต่ละเส้นให้สอดคล้องกับลวดลายที่ต้องการ

ผ้าเจ็คการ์ดมักมีลักษณะการทอที่มีความหนาและคุณภาพสูง โดยสามารถสร้างลวดลายที่ซับซ้อนและละเอียดได้อย่างได้ผลและแม่นยำ ทำให้ผ้าเจ็คการ์ดเป็นที่นิยมในการผลิตเสื้อผ้าและอุปกรณ์ตกแต่งภายในบ้าน เนื่องจากมีลักษณะการทอที่สวยงามและมีคุณภาพสูง

นอกจากนี้ ผ้าเจ็คการ์ดยังสามารถผสมผสานกับการใช้เทคนิคการทออื่นๆ เพื่อสร้างลวดลายที่หลากหลายและน่าสนใจในผ้าได้อีกด้วย เช่น การผสมผสานกับเทคนิคการทอจากเครื่องทอฝังกลม (Rotary Loom) เพื่อสร้างลวดลายที่หลากหลายขึ้น หรือการผสมผสานกับเทคนิคการทอแบบด้ายผสม (Blended Yarn) เพื่อสร้างลวดลายที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงของ


เพียงแค่นั้นเป็นเทคนิคการผสมผสานของผ้าเจ็คการ์ดเท่านั้น ซึ่งยังมีเทคนิคอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถใช้เพื่อสร้างลวดลายที่น่าสนใจและหลากหลายขึ้นในผ้าเจ็คการ์ดได้ เช่น การใช้เทคนิคการทอต่างๆ เช่นการทอซาติน (Satin weave) เพื่อสร้างผ้าที่มีพื้นผิวเงาโดดเด่น หรือการใช้เทคนิคการทอแบบผสม (Blended fabric) เพื่อผสมผสานลวดลายจากวัสดุต่างๆ เข้าด้วยกันในผ้าเจ็คการ์ด

ในสมัยปัจจุบัน ผ้าเจ็คการ์ดยังคงเป็นวัสดุที่นิยมใช้ในการผลิตเสื้อผ้าและอุปกรณ์ตกแต่งภายในบ้าน โดยมีลักษณะการทอที่สวยงามและมีคุณภาพสูง และยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสร้างผ้าเจ็คการ์ดที่มีลักษณะการทอและลวดลายที่สวยงามและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย


ตัวอย่างผ้าของเราที่ทอด้วยเครื่องทอระบบแจ็คการ์ด

ผ้าม่าน Curtain


ผ้าม่านกันแสงหน้ากว้าง Width Wide Dim-out


เลือกสีให้เข้ากับห้องต่างๆ

การเลือกสีที่เหมาะสมสำหรับห้องสามารถส่งผลอย่างมากต่อรูปลักษณ์โดยรวมของพื้นที่ หลักเกณฑ์ทั่วไปในการเลือกสีสำหรับห้องต่างๆ มีดังนี้

สีน้ำตาล

Living Room

  • ผ้าม่านสไตล์: Classic, modern, or eclectic style, floor-length curtains
  • สีสันลวดลาย: Beige, white, gray, navy blue, bright or patterned
  • สีผนังห้อง: Neutral tones or complementary colors to balance the room

Bedroom

  • ผ้าม่านสไตล์: Romantic or cozy style, soft and flowing fabrics, floor-length curtains
  • สีสันลวดลาย: Light blue, lavender, blush pink, dark or bold colors
  • สีผนังห้อง: Soft and calming colors or complementary colors to the bedding

Kitchen

  • ผ้าม่านสไตล์: Simple and functional style, light and airy fabrics, cafe curtains or valances
  • สีสันลวดลาย: Bright and cheerful colors like yellow, red, or green
  • สีผนังห้อง: Light and airy colors like white, beige, or light blue

Bathroom

  • ผ้าม่านสไตล์: Subtle patterns or textured fabrics, sheer or semi-sheer white curtains
  • สีสันลวดลาย: Sheer or semi-sheer white, shades of blue or green
  • สีผนังห้อง: Neutral colors or shades of blue or green for a calming atmosphere

Dining Room

  • ผ้าม่านสไตล์: Elegant and formal style, luxurious fabrics like velvet or silk, floor-length curtains with decorative details like tassels or fringes
  • สีสันลวดลาย: Rich and luxurious colors like red, purple, or gold, bold patterns
  • สีผนังห้อง: Neutral tones, warm shades, or complementary colors to the furniture