fbpx

#นิทัสผ้าม่านที่ UrBoy TJ เลือกใช้

นิทัสผ้าม่านที่ดาราและอินฟลูเลือกใช้

ขอบคุณ คุณ Urboy TJ ที่เลือกใช้ผ้าม่านคุณภาพ ผ้าม่านนิทัส ทั้งหลัง

#Nitastessile #นิทัสผ้าม่าน #คิดถึงผ้าม่านคิดถึงนิทัส #ม่านกันแสง #Dimout #ม่านทึบแสง #Blackout #มูลี่ไม้

  • ชมคลิป: TJ’S HOUSE EP14 : HOME TOUR พาดูทั้งบ้าน รีวิวทุกห้อง
  • คลิปเต็มได้ที่ https://youtu.be/3fhOtWSLdA8
  • ชมคลิป: Home Tour TJ’S HOUSE EP11 : บุกโชว์รูม ม่านกันโควิดที่เดียวในไทย
  • คลิปเต็มได้ที่  https://www.youtube.com/watch?v=rP2sDqDbU2U

ช่องยูทูป https://www.youtube.com/@UrboyTJChannel

เลือกสีให้เข้ากับห้องต่างๆ

การเลือกสีที่เหมาะสมสำหรับห้องสามารถส่งผลอย่างมากต่อรูปลักษณ์โดยรวมของพื้นที่ หลักเกณฑ์ทั่วไปในการเลือกสีสำหรับห้องต่างๆ มีดังนี้

สีน้ำตาล

Living Room

  • ผ้าม่านสไตล์: Classic, modern, or eclectic style, floor-length curtains
  • สีสันลวดลาย: Beige, white, gray, navy blue, bright or patterned
  • สีผนังห้อง: Neutral tones or complementary colors to balance the room

Bedroom

  • ผ้าม่านสไตล์: Romantic or cozy style, soft and flowing fabrics, floor-length curtains
  • สีสันลวดลาย: Light blue, lavender, blush pink, dark or bold colors
  • สีผนังห้อง: Soft and calming colors or complementary colors to the bedding

Kitchen

  • ผ้าม่านสไตล์: Simple and functional style, light and airy fabrics, cafe curtains or valances
  • สีสันลวดลาย: Bright and cheerful colors like yellow, red, or green
  • สีผนังห้อง: Light and airy colors like white, beige, or light blue

Bathroom

  • ผ้าม่านสไตล์: Subtle patterns or textured fabrics, sheer or semi-sheer white curtains
  • สีสันลวดลาย: Sheer or semi-sheer white, shades of blue or green
  • สีผนังห้อง: Neutral colors or shades of blue or green for a calming atmosphere

Dining Room

  • ผ้าม่านสไตล์: Elegant and formal style, luxurious fabrics like velvet or silk, floor-length curtains with decorative details like tassels or fringes
  • สีสันลวดลาย: Rich and luxurious colors like red, purple, or gold, bold patterns
  • สีผนังห้อง: Neutral tones, warm shades, or complementary colors to the furniture

“น้ำตาล หรือ เทา” จบๆ!!!

ปัญหาโลกแตกอย่างหนึ่งของการเลือกแบบ เลือกสไตล์ เลือกวัสดุ ในการตกแต่งห้องคือไม่รู้จะตกแต่งแบบไหนดี เช่นเดียวกันการเลือกสี ก็เป็นปัญหาที่คิดไม่ตกเหมือนกัน

ฉนั้น วันนี้มีทางเลือกง่ายๆ ของโทนสี ที่คนส่วนใหญ่มักจะเลือกโทนสีในการตกแต่งไปใน 2 ทางคือ โทนน้ำตาล และโทนเทา เพราะทั้งสีน้ำตาล และสีเทา เป็นสีเป็นกลางในการออกแบบตกแต่งภายใน เป็นสีพื้นเข้าได้กับทุกสไตล์การตกแต่งและไร้กาลเวลาสำหรับสไตล์การออกแบบที่หลากหลาย โดยหลักการง่ายๆ ดังนี้

  • ความซับซ้อน: สีโทนน้ำตาลและเทา ให้ความรู้สึกสงบ แต่ในขณะเดียวกันยังสามารถสร้างความรู้สึกซับซ้อน ดูสง่างาม ใช้ร่วมกับวัสดุต่างๆ สร้างบรรยากาศได้หลากหลาย ทั้งความหรูหรา ทันสมัย และดูกลมกลืนกับธรรมชาติ
  • ความยืดหยุ่น: สีโทนน้ำตาลและเทา สามารถจับคู่กับสี ลวดลาย และพื้นผิวอื่นๆ ได้ง่าย เสมือนผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า สามารถแต่งแต็ม เน้นจุดสำคัญ หรือ ทำให้กลมกลืนได้ง่าย สามารถใช้กับโทนสีอบอุ่นหรือโทนเย็นได้ และเข้าได้กับฤดูกาล แม้กระทั้งเทรนด์การตกแต่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยก็ตาม
  • ไร้กาลเวลา: สีโทนน้ำตาลและเทา มีความคลาสสิก และไร้กาลเวลา เข้ากับการออกแบบที่เปลี่ยนแปลงได้ ด้วยการใช้โทนสีที่เป็นกลาง คุณสามารถสร้างการออกแบบที่ไม่เคยตกยุคและให้ความรู้สึกเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
  • ความกลมกลืน: สีโทนน้ำตาลและเทา เมื่อใช้ร่วมกับสีกลางอื่นๆ หรือในเฉดสีต่างๆ สีน้ำตาลและสีเทาสามารถสร้างการออกแบบที่กลมกลืนและเหนียวแน่น สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและสมดุลในพื้นที่
  • พื้นผิว: สีโทนน้ำตาลและเทา เป็นสีที่อยู่ในเนื้อของวัสดุ โดยทั่วไปอยู่แล้ว เช่น ไม้ และโลหะ สามารถเน้นพื้นผิวของวัสดุให้เป็นจุดเด่น หรือเป็นองค์ประกอบโดยรวมได้ สร้างความเป็นมิติ และความน่าสนใจในการออกแบบได้อย่างง่ายๆ

ความหมายในเชิงความรู้สึก และสไตล์การตกแต่ง

สีโทนน้ำตาล

  • ความรู้สึก: Warmth, Comfort, Stability, Earthiness, Naturalness
  • การออกแบบตกแต่ง: Rustic, Vintage, Bohemian, Organic, Traditional
  • สไตล์: Casual, Relaxed, Cozy, Down-To-Earth, Timeless
  • วัสดุ: ไม้จริง และลายไม้ พื้น และวัสดุปิดผิวลายไม้, สิ่งทอ-หนัง, อิฐ, กระเบื้อง แกรนิตโต และกระเบื้องยางลายไม้, สีทาผนัง, โลหะ เช่น ทองเหลือง ทองแดง รวมถึงการทำสี เช่น โรสโกลด์, กระจกเงารมทอง, หินปูพื้นและตกแต่ง เช่น แกรนิต หินอ่อน และของตกแต่งอื่นๆ

สีโทนเทา

  • ความรู้สึก: Neutrality, Calmness, Sophistication, Balance, Professionalism
  • การออกแบบตกแต่ง: Modern, Minimalistic, Industrial, Elegant, Chic
  • สไตล์: Formal, Sophisticated, Refined, Sleek, Timeless
  • วัสดุ: ไม้ทำสี การเผาผิวหน้าไม้ และวัสดุปิดผิวลายไม้, สิ่งทอ-หนัง, สีทาผนัง, กระเบื้อง แกรนิตโต และกระเบื้องยาง, โลหะ เช่น เหล็ก อลูมิเนียม สแตนเลส และการทำสี, กระจกเงารมดำ, ปูนเปลือย-ขัดมัน, หินปูพื้นและตกแต่ง เช่น แกรนิต หินอ่อน และของตกแต่งอื่นๆ

กฏ 80%/20%

กฎ 80/20 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กฎพาเรโต” (Pareto principle) หรือสัดส่วน 80/20 (Law of the vital few) หมายถึง ส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่สำคัญและส่งผลต่อส่วนอื่นๆเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ร่วมกันของทั้งสองโทน โดยให้สัดส่วนของสีที่มากน้อยต่างกัน

จากรูป การตกแต่งเป็นสีน้ำตาล, และมีการใช้สีเทา ในสัดส่วน 50/50

จากรูป การตกแต่งโดยรวมเป็นโทนสีน้ำตาล, เบจ สีน้ำตาลจากวัสดุไม้พื้นน และตกแต่งผนัง และมีการใช้สีเทาเข้ม ที่เป็นผ้าม่าน สีดำของชั้นวางทีวี มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

จากรูป โดยรวมเป็นโทนสีน้ำตาล ครีม เบจและมีการใช้สีเทาของวัสดุหินอ่อน มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

จากรูป โดยรวมการตกแต่งเป็นสีโทนเทา และมีการใช้สีน้ำตาล ด้วยตัวเนื้อวัสดุอย่างโต๊ะไม้มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

จากรูป โดยรวมการตกแต่งเป็นสีโทนเทา, ขาว และมีการใช้สีน้ำตาล ด้วยตัวเนื้อวัสดุอย่างพื้นไม้มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

การเพิ่มสีธรรมชาติอย่างสีเขียวของต้นไม้, ใบไม้ เป็นสีที่ 3 ช่วยพื่อให้เกิดความน่าสนใจ และยังสร้างความมีชีวิจชีวา ให้กับการตกแต่งอีกด้วย

เช่นเดียวกันเราสามารถเพิ่มสีที่ตัดกันเข้าไปใช่สัดส่วน 80/20 ซึ่งจะสามารถสร้างความน่าสนใจได้อย่างมาก

จากรูป เราสามารถเพิ่มสีที่ 3 ลงไป เพื่อสร้างความนี้สนใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสัดส่วน 70/20/10


หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้ แนวไอเดียนำไปใช้ในการตกแต่งห้อง กับโทนสีน้ำตาล และสีเทาแนะนำเป็นตัวอย่างนะครับ ^ ^

บทความโดย: ทายาท เตชะสุวรรณ์ นักออกแบบ

#นิทัสผ้าม่านที่ PIGLET เลือกใช้

นิทัสผ้าม่านที่ดาราและอินฟลูเลือกใช้

ขอบคุณ คุณพิกเล็ท คุณเนย คุณแจม เนโกะจัมพ์ ที่เลือกใช้ผ้าม่านคุณภาพ ผ้าม่านนิทัส ทั้งหลัง

#Nitastessile #นิทัสผ้าม่าน #คิดถึงผ้าม่านคิดถึงนิทัส #ม่านกันแสง #Dimout #ม่านทึบแสง #มูลี่ไม้ #WoodenBlind 

รับชมคลิป: Home Tour บ้านเสร็จแล้ว~ ถ่ายรูปได้ทุกมุม บ้านแห่งการคุมโทน!! 🎄

หน้าม่วงหน้าเขียว ความลับคือค่า Color Rendering Index (CRI)

เคยเป็นไหมเวลาเราส่องกระจก หรือถ่ายรูปตัวเราเอง ถ่ายรูปสิ่งของที่เราอยากโชว์ลงสื่อโซเชียว แต่รูปที่ได้มากลายสีเพี้ยนๆ เป็นสีอมม่วง อมเชียว ทั้งๆที่เราก็ใส่มือถือรุ่นใหม่แบรนด์ดัง หรือเรารู้สึกว่า ทำไมเสื้อผ้าที่เราซื้อกลับมาลองใส่อีกครั้งที่บ้าน ไม่สวยสดใส เหมือนกับลองที่ร้าน หรือผัก-ผลไม้ในซุปเปอร์มาเก็ตเจ้าใหญ่ๆ ทำไมมันสีสวยน่าทานมากกว่าร้านขายผลไม้ ติดไฟ LED ทรงใบพัดตามข้างทาง ทั้งๆ ที่ ความสว่าง และอุณหภูมิแสง เดย์ไลท์/วอร์มไวท์ (แสงขาว/แสงเหลือง) ก็เหมือนๆ กัน ค่า CRI (Color Rendering Index) คือคำตอบนั้นเอง ค่า CRI ค่าความถูกต้องของสี เป็นค่าชี้วัดว่าแหล่งกำเนิดแสงส่องสว่างสีของวัตถุได้แม่นยำเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งกำเนิดแสงตามธรรมชาติหรือ แสงแดด

CRI วัดจากระดับ 0 ถึง 100 โดยคะแนนยิ่งสูงแสดงว่าแสดงสีได้ดีขึ้น คะแนน CRI 100 แสดงถึงการแสดงสีที่สมบูรณ์แบบ หมายความว่าสีของวัตถุได้รับการส่องสว่างอย่างแม่นยำและไม่ผิดเพี้ยน

CRI มีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ความถูกต้องของสีเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ในหอศิลป์ สตูดิโอถ่ายภาพ และโชว์รูม หรือร้านขายสินค้า หรืออุตสาหกรรม ที่ต้องการความถูกต้องของสีสูงๆ เช่น การเทียบสีของ สิ่งทอ หรือ การเปรียบสีของรอบการผลิตที่ต่างกัน เป็นต้น

CRI ต่ำ (ค่าความถูกต้องสี) สามารถทำให้วัตถุดูหม่นหมอง ซีดจาง หรือมีสีผิดเพี้ยนได้ เนื่องจากแหล่งกำเนิดแสงที่มีค่า CRI ต่ำไม่สามารถแสดงสีของวัตถุที่ส่องสว่างได้อย่างถูกต้อง

เมื่อแสงตกกระทบวัตถุ สีบางสีในสเปกตรัมจะถูกดูดกลืนโดยวัตถุ ในขณะที่สีอื่นจะสะท้อนกลับ แหล่งกำเนิดแสง CRI สูงจะสร้างสเปกตรัมของสีที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทำให้สามารถแสดงสีที่แท้จริงของวัตถุได้อย่างถูกต้อง ในทางกลับกัน แหล่งกำเนิดแสง CRI ต่ำจะสร้างสเปกตรัมของสีที่จำกัด ส่งผลให้การสร้างสีไม่แม่นยำ เช่น การจับคู่สีสิ่งทอแหล่งกำเนิดแสง CRI ต่ำอาจทำให้แยกแยะความแตกต่างระหว่างเฉดสีที่คล้ายกันหรือตรวจจับความแตกต่างเล็กน้อยของสีได้ยาก ในร้านค้าปลีกหรือพิพิธภัณฑ์ แหล่งกำเนิดแสงที่มีค่า CRI ต่ำอาจทำให้สินค้าหรือการจัดแสดงดูน่าสนใจน้อยลง

ดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว หลอดไฟ CRI สูงจึงเป็นที่นิยมสำหรับการใช้งานที่เน้นสี เช่น การจับคู่สี การถ่ายภาพ โชว์รูมสินค้าแฟชั่น โชว์รูมสินค้าตกแต่งบ้าน

ตัวอย่างบรรจุภัณฑ์หลอดไฟยี่ห้อต่างๆ ที่ ระบุค่า CRI

ฉนั้นคั้งต่อไปในการเลือกซื้อหลอดไฟ นอกจาก กำลังไฟ เรื่องความสว่าง อุณหภูมิแสแล้ว เราควรสังเกตุค่า CRI ความถูกต้องของสี รวมด้วย แม้กระทั่งในบ้านของเรา เช่นห้องน้ำ ห้องแต่งตัว แสงสว่างที่กระจกแต่งหน้า หรือห้องรับแขก โดยทั่วไป ค่า CRI เท่ากับ หรือ มากกว่า 80 ขึ้นไป ถือเป็นค่าที่เหมาะสมสำหรับหลอดไฟที่ใช้ทั่วไปภายในบ้าน ซึ่งรับรองว่าคุณจะรู้สึกว่า บ้านของคุณดูมีชีวิตชีวา ขึ้นมาอีกครั้งเลยที่เดียว ในทางกลับกันหลอดไฟที่ค่า CRI ต่ำ มักจะมีราคาถูก และไม่เขียนค่าดังกล่าวโชว์ไว้ที่หน้าบรรจุภัณฑ์


ตู้วิเศษจงบอกข้าเถิด ผ้าตัวไหนสีเพี้ยน

Color Matching Cabinets

ไม่ต้องมนต์วิเศษใดๆ เราก็สามารถรู้ได้ว่าสีเพี้ยนหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับต้นฉบับ ตู้นี้ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมสิ่งทอด้วยเช่นกัน

Color Matching Cabinets หรือ ตู้เทียบสี เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการประเมินสีในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย เช่น สิ่งทอ การพิมพ์ ยานยนต์ หรือจะกล่าวได้ว่าทุกวงการ ที่จำเป็นต้องงมีการเปรียบเทียบกับสีเดิมที่เป็นต้นฉบับ หรือสีตัวอย่างที่ต้องการ โดยมีการออกแบบมาให้สภาพแสงมาตรฐาน โดยจำลองสภาพแวดล้อมของแสงที่แตกต่างกัน เช่น แสงกลางวัน และแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ เพื่อใช้เปรียบเทียบสีสภาพแสงต่างๆ โดยผู้เชี่ยวชาญนั้นเอง

ตู้จับคู่สีเครื่องแรกได้รับการพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1920 โดยบริษัท Munsell Color สำหรับการจับคู่สีในอุตสาหกรรมการพิมพ์ ตั้งแต่นั้นมา ตู้เทียบสีก็ได้รับการพัฒนา และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มเทคโนโลยีไฟแบบใหม่ LED เข้าไปด้วย และแสงที่ถือว่าเป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบสีหลักๆ คือแสงจากหลอด D65 หรือแสงที่มีอุณหภูมิสี 6500K ซึ่งเป็นอุณหภูมิแสงที่ใกล้เคียงแสงแดดที่สุด (โซนยุโรป อเมริกา) กำหนดโดย International Commission on Illumination (CIE) ในปี 1964

ปัจจุบัน ตู้จับคู่สีมีการกำหนดค่าที่หลากหลายและมีแหล่งกำเนิดแสงหลายแหล่งสำหรับการจำลองสภาพแสงที่แตกต่างกัน ตู้บางตู้ยังใช้ไฟฟลูออเรสเซนต์ ในขณะที่ตู้อื่นๆ ใช้ไฟ LED เพื่อประหยัดพลังงาน และค่าความถูกต้องสีสูง (CRI) สามารถรวมแสงหลายประเภทไว้ในตู้เดียว ช่วยให้สลับระหว่างแหล่งกำเนิดแสงต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบและวิเคราะห์ได้ง่าย โดยรวมแล้ว ตู้เทียบสีเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการประเมินและจับคู่สีที่แม่นยำในอุตสาหกรรมต่างๆ

จากรูป เป็นการเปรีบเทียบสี จะเห็นว่ารูปด้านซ้าย ไม่เห็นความแตกต่างของสี เมื่ออยู่ใน แสงจากหลอดไฟ เดย์ไวท์ อุณหภูมสี 5000K (แสงขาว) แต่เมื่อเทียบกับรูปทางขวา ซึ่งจะเห็นสีไม่เท่ากันไปอยู่ในแสงทางด้านขวา ที่เป็นแสงวอร์มไวท์ อุณหภูมสี 2700K (แสงเหลือง)

หลอดไฟชนิดต่างๆ ในตู้เทียบสี

แหล่งกำเนิดแสงหลายแหล่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของตู้จับคู่สี เนื่องจากช่วยให้สามารถจำลองสภาพแสงประเภทต่างๆ เพื่อประเมินความถูกต้องของสีภายใต้สถานการณ์ต่างๆ แหล่งกำเนิดแสงต่างๆ ที่ใช้ในตู้เทียบสีมักจะมีอุณหภูมิสี และค่าความถูกต้องสี (CRI) ที่แตกต่างกัน เพื่อจำลองประเภทของแสงกลางแดดและสภาพแสงอื่นๆ ได้แก่

  • D65 (Daylight 6500K): แหล่งกำเนิดแสงที่จำลองแทนแสงแดดตอนกลางวัน (โซนยุโรป, อเมริกา) ที่มีอุณหภูมิสี 6500K และ CRI 95 ใช้อ้างอิงสำหรับการประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นหลัก
  • D50 (Daylight 5000K): แหล่งกำเนิดแสงที่จำลองแทนแสงแดดตอนกลางวัน (โซนเอเชีย) ที่มีอุณหภูมิสี 5000K และ CRI 98 ใช้อ้างอิงสำหรับการประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมต่างๆ เปรียบกับสลับกับ D65 ไปมา โดยเฉพาะงานปรู๊ฟสี และงานภาพถ่าย
  • U30 (30 Phosphor Luminescence): แหล่งกำเนิดแสงที่มีอุณหภูมิสี 3000K และ CRI 82 มักใช้เพื่อประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมพลาสติก และสิ่งทอ
  • TL84 (Tubular Luminescence 840): หลอดฟลูออเรสเซนต์สีขาวนวลที่มีอุณหภูมิสี 4000K และ CRI 85 มักใช้เพื่อประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องหนัง และพลาสติก
  • CWF (Cool White Fluorescent): หลอดฟลูออเรสเซนต์สีขาวนวลที่มีอุณหภูมิสี 4150K และ CRI 62 มักใช้เพื่อประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมการพิมพ์
  • F (Fluorescent): หลอดฟลูออเรสเซนต์ที่มีอุณหภูมิสี 2700K และ CRI 50 มักใช้เพื่อประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมยานยนต์
  • A (Incandescent): หลอดไส้ที่มีอุณหภูมิสีประมาณ 2856K และค่า CRI 100 เป็นแหล่งกำเนิดแสงมาตรฐานแห่งแรกสำหรับการประเมินสี และยังคงใช้ในบางอุตสาหกรรมในปัจจุบันเพื่อประเมินความถูกต้องของสีภายใต้สภาพแสงจากหลอดไส้
  • UV (Ultraviolet): แหล่งกำเนิดแสงหลอด UV เพื่อประเมินความคงทนของสีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และพลาสติก รวมถึงผลกระทบของแสง UV ต่อรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์เมื่อเวลาผ่านไป แหล่งกำเนิดแสง UV ในตู้เทียบสีมักจะปล่อยแสง UV ในช่วง 320-400 นาโนเมตร ซึ่งคล้ายกับแสง UV ที่พบในแสงแดดธรรมชาติ

รูปตัวอย่างแหล่งกำเนิดแสง (หลอดไฟ) ชนิดต่างๆ ซึ่งในบริเวญปลายหลอด ก็มักจะมีการเขียนกำกับไว้ว่าเป็นหลอดชนิดใด


การใช้แหล่งกำเนิดแสงหลายแหล่งในตู้จับคู่สีช่วยให้สามารถประเมินความถูกต้องของสีภายใต้สภาพแสงที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ถึงความแม่นยำของสีที่สม่ำเสมอในผลิตภัณฑ์และการใช้งานต่างๆ


#นิทัสผ้าม่านที่ MayyR เลือกใช้

นิทัสผ้าม่านที่ดาราและอินฟลูเลือกใช้

ขอบคุณ คุณ Mayy R ที่เลือกใช้ผ้าม่านคุณภาพ ผ้าม่านนิทัส ทั้งหลัง #Nitastessile #นิทัสผ้าม่าน #คิดถึงผ้าม่านคิดถึงนิทัส #ม่านกันแสง #Dimout #ม่านทึบแสง #มูลี่ไม้ #WoodenBlind 

ชมคลิป: Home Tour เปิดบ้าน รีวิวเจาะลึก เล่าทุกเรื่อง บอกทุกปัญหา! EP.1 | MayyR

มาสร้างโรงหนังในบ้านด้วยผ้าม่านกัน

นอกจากผ้าม่านที่ปกติแล้วเราจะใช้เพื่อการกันแสง กันความร้อนจากแสงแดดแล้ว หรือกันการมองเห็น หรือกระทั่งเสริมบรรยากาศของห้องแล้ว ผ้าม่านยังสามารถกันเสียง( ดูดซับเสียง) ได้อีกด้วยนะ แล้วเราสามารถนำผ้าม่านไปใช้กับห้องไหน ได้บางไปดูกันเลย

ใช้ผ้าม่านกับห้องซ้อมดนตรี

ใช้ผ้าม่านสามารถกันเสียงในห้องซ้อมดนตรีได้ดีแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความหนาและความหนาแน่นของผ้าม่าน ประเภทของผ้า ขนาดและรูปร่างของห้อง และความดังของเสียงที่เกิดขึ้น .

โดยทั่วไปแล้ว ผ้าม่านเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถเก็บเสียงได้ดีพอสำหรับห้องซ้อมดนตรี อย่างไรก็ตาม ผ้าม่านสามารถช่วยดูดซับ และกระจายคลื่นเสียง และสามรถดเสียงสะท้อน เพื่อให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการกันเสัยงในห้องซ้อมดนตรี จำเป็นต้องใช้วัสดุเสริมร่วมกัน เช่น แผงอะคูสติก โฟมเก็บเสียง และฉนวนกันเสียง สิ่งสำคัญคือต้องอุดช่องว่างต่างๆ ในผนัง เพดาน และพื้นเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงรั่วเข้าหรือออกให้หมดด้วย


ใช้ผ้าม่านกับห้องโฮมเธียมเตอร์

ผ้าม่านเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการลดเสียงสะท้อนและเสียงก้องในห้องโฮมเธียเตอร์ เนื่องจากช่วยดูดซับคลื่นเสียงและป้องกันไม่ให้สะท้อนออกจากพื้นผิวที่แข็ง เมื่อใช้ร่วมกับวัสดุดูดซับเสียงอื่นๆ เช่น แผงอะคูสติก หรือแผ่นโฟม ผ้าม่านเป็นวิธีแบบง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเสียงของห้องโฮมเธียเตอร์ของคุณ

ผ้าม่านสำหรับห้องโฮมเธียเตอร์ ควรเลือกผ้าที่มีการทอแน่น หนา และฟู เพื่อช่วยดูดซับเสียงได้ดีกว่าผ้าที่บางและน้ำหนักเบา เช่น ผ้าม่านกำมะหยี่ Velvet และ ผ้าที่ทอจากด้านขน หรือ Chenille ซึ่งด้วยคุณลักษณะของตัวเนื้อผ้าเองที่มีความหนา กว่าผ้าชนิดอื่นๆ และยังมีขนเล็กๆ เรียนตัวกันอย่างหนาแน่น รวมทั้งการตัดเย็บเข้าเป็นลอนๆ จากที่กล่าวมาด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ผ้ากำมะหยี่จึงสามารถช่วยลดการสะท้อนของเสียงได้ดี เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดมักจะแขวนปิดอีกชั้นในส่วนของผนังผนังที่เรียบๆ ทั้งหมด รวมถึงหน้าต่าง แม้แต่หน้าประตูเข้าออก เพื่อช่วยดูดซับคลื่นเสียง และลดเสียงสะท้อน แม้ว่าผ้าม่านเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถป้องกันเสียงได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากเท่ากับการกรุผนังซับเสียงใหม่ ประหยัดค่าใช้จ่าย มีประสิทธิภาพในการสร้างประสบการณ์การดูหนัง ฟังเพลงให้มีอรรถรส และสนุกสนานยิ่งขึ้น

  1. Reflection (การสะท้อน): เมื่อเสียงชนกับพื้นผิวหรือวัตถุต่างๆ บางส่วนของเสียงจะสะท้อนกลับมาเป็นคลื่นเสียงและเกิดเป็นเสียงสะท้อน โดยการสะท้อนจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสะท้อนของวัตถุและมุมเข้าชนของเสียง
  2. Absorption (การดูดซับ): เมื่อเสียงชนกับวัตถุบางส่วนของเสียงจะถูกดูดซับเข้าไปบางส่วน และสะท้อนออกมาบางส่วน การดูดซับเสียงจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการดูดซึมของวัตถุและความถี่ของเสียง
  3. Diffusion (การกระจาย): คือการกระจายเสียงโดยที่เสียงไม่ไปตรงเป้าหมาย แต่กระจายไปทั่วทั้งห้องหรือพื้นที่ โดยการกระจายจะเกิดจากการใช้วัตถุหรือผิวที่ไม่เป็นระเบียบหรือไม่มีลักษณะการสะท้อนหรือดูดซึมเสียง

อ่านเรื่อง ผ้าม่านกำมะหยี่ Velvet เพิ่มเติม

Colorfastness ผ้าสีซีด ผ้าสีจาง

ความคงทนของสีเป็นการวัดความทนทานของวัสดุสิ่งทอที่มีสีต่อการซีดจาง ในสภาวะการทำงานระหว่างการใช้งานตามปกติ มีหลายมาตรฐานที่กำหนดขึ้นเพื่อทดสอบความคงทนของสีของสิ่งทอ มาตรฐานเหล่านี้มีความสำคัญเนื่องจากช่วยให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์สิ่งทอมีคุณภาพ ตามที่ลูกค้าต้องการ เช่น ISO, AATCC, ASTM ซึ่งแต่ละมาตรฐานเหล่านี้มีขั้นตอนการทดสอบ และระบบการให้คะแนนเฉพาะของตัวเอง ตัวอย่างเช่น มาตรฐาน ISO, AATCC, ASTM ใช้มาตราส่วนการให้คะแนน 1 ถึง 5 เพื่อประเมินความคงทนของสี โดย 5 เป็นระดับความคงทนของสีระดับสูงสุด ส่วนมาตรฐาน JIS ใช้มาตราส่วนการให้คะแนนตั้งแต่ 1 ถึง 8 โดย 8 คือค่าที่ดีที่สุด เป็นต้น

ส่วนใหญ่เนื้อผ้าเคหะสิ่งทอ หรือพวกผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ก็จมีการทดสอบความคงทนของสี ดังนี้


การทดสอบความคงทนของสีตามมาตรฐานต่างๆ มีดังนี้

Colour Fastness to Light ความคงคนของสี ต่อแสง

  • AATCC 16.3 Test Method for Colour Fastness to Light: Xenon-Arc
  • ISO 105-B02 Textiles – Tests for Colour Fastness – Part B02: Colour Fastness to Artificial Light: Xenon Arc Fading Lamp Test
  • JIS L0842 Test Methods for Colour Fastness to Enclosed Carbon Arc Lamp Light
  • JIS L0843 Test Methods for Colour Fastness to Xenon Arc Lamp Light
  • TISI 121 book 2 ความคงทนของสีต่อแสงซีนอนอาร์ก

Colour Fastness to Weathering ความคงทนของสีต่อสภาพอากาศ

  • 105-B04 Textiles – Tests for Colour Fastness Part B04: Colour Fastness to Artificial Weathering: Xenon Arc Fading Lamp Test

Colour Fastness to UV ความคงทนของสีตอแสง UV

  • ASTM G154 Standard Practice for Operating Fluorescent Ultraviolet (UV) Lamp Apparatus for Exposure of Materials

Colour Fastness to Rubbing ความคงคนของสี ต่อการขัดถู

  • AATCC 8 Test Method for Colour Fastness to Crocking: Crockmeter
  • AATCC 116 Test Method for Colour Fastness to Crocking: Rotary Vertical Crockmeter
  • AATCC 165 Test Method for Colour Fastness to Crocking: Textile Floor Coverings-Crockmeter
  • ISO 105-X12 Textiles – Tests for Colour Fastness Part X12: Colour Fastness to Rubbing
  • ISO 105-X16 Textiles – Tests for Colour Fastness – Part X16: Colour Fastness to Rubbing – Small Areas
  • JIS L0849 Test Methods for Colour Fastness to Rubbing
  • TISI 121 book 5 ความคงทนของสีต่อการขัดถู

Colour Fastness to Water ความคงคนของสีต่อน้ำ

  • AATCC 107 Test Method for Colour Fastness to Water
  • ISO 105-E01 Textiles – Tests for Colour Fastness Part E01: Colour Fastness to Water
  • JIS L0846 Test Method for Colour Fastness to Water
  • TISI 121 book 25 ความคงทนของสีต่อน้ำ

Colour Fastness to Perspiration ความคงคนของสีต่อเหงื่อ

  • AATCC 15 2021 Test Method for Colour Fastness to Perspiration
  • ISO 105-E04 Textiles – Tests for Colour Fastness Part E04: Colour Fastness to Perspiration
  • JIS L0848 Test Method for Colour Fastness to Perspiration
  • TISI 121 book 4 ความคงทนของสีต่อเหงื่อ

Colour Fastness to Seawater ความคงคนของสีต่อน้ำทะเล

  • AATCC 106 Test Method for Colour Fastness to Water: Sea
  • ISO 105-E02 Textiles – Tests for Colour Fastness Part E02: Colour Fastness to Sea Water
  • JIS L0847 Test Method for Colour Fastness to Sea Water

Colour Fastness to Chlorine ความคงคนของสีต่อคลอรีน

  • AATCC 162 Test Method for Colour Fastness to Water: Chlorinated Pool
  • 105-E03 Textiles – Tests for Colour Fastness Part E03: Colour Fastness to Chlorinated Water (Swimming-Pool Water)
  • JIS L0884 Test Methods for Colour Fastness to Chlorinated Water

Colour Fastness to Bleaching ความคงคนของสีต่อสารฟอกขาว

  • AATCC 101 Test Method for Colour Fastness to Bleaching With Hydrogen Peroxide
  • ISO 105-N01 Textiles – Tests for Colour Fastness – Part N01: Colour Fastness to Bleaching: Hypochlorite
  • ISO 105-N02 Textiles – Tests for Colour Fastness – Part N02: Colour Fastness to Bleaching: Peroxide
  • JIS L0856 Test Methods for Colour Fastness to Bleaching with Hypochlorite
  • JIS L0859 Testing Method for Colour Fastness to Bleaching with Sodium Chlorite

Colour Fastness to Washing ความคงคนของสีต่อการซัก

  • AATCC 61 Test Method for Colour Fastness to Laundering: Accelerated
  • ISO 105-C10 Textiles Tests for Colour Fastness Part C10: Colour Fastness to Washing With Soap Or Soap and Soda
  • ISO 105-C06 Textiles – Tests for Colour Fastness – Part C06: Colour Fastness to Domestic and Commercial Laundering
  • JIS L 0844 Test Methods for Colour Fastness to Washing and Laundering
  • TISI 121 book 3 ความคงทนของสีต่อการซักด้วยสบู่ หรือ สบู่และโซดา

Colour Fastness to Dry Cleaning ความคงคนของสีต่อการซักแห้ง

  • ISO 105-D01 Textiles – Tests for Colour Fastness Part D01: Colour Fastness to Dry Cleaning Using Perchloroethylene Solvent
  • AATCC 132 Test Method for Colour Fastness to Drycleaning
  • JIS  L0860 Test Methods for Colour Fastness to Dry Cleaning

ต่อไปเป็นตัวอย่างขั้นตอนการทดสอบต่างๆ ในกลุ่มความคงทนของสี

Colour Fastness to Light

ความคงทนของสี ต่อแสงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความทนทาน และอายุการใช้งานของผ้าสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานกลางแจ้ง และเครื่องแต่งกาย การสัมผัสกับแสงแดดอาจทำให้สีย้อมและเม็ดสีบางส่วนแตกตัวและจางลง ส่งผลให้สีและรูปลักษณ์เปลี่ยนไป เพื่อให้แน่ใจว่าผ้าสีจะคงรูปลักษณ์และคุณภาพไว้ ผู้ผลิตจึงใช้มาตรฐานต่างๆ เพื่อทดสอบความคงทนต่อแสงของเนื้อผ้า

ขั้นตอนการทดสอบความคงทนของสี ต่อแสง

  • เลือกมาตรฐานการทดสอบที่เหมาะสม: มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบความคงทนต่อแสงของเนื้อผ้า ตัวอย่างเช่น ISO 105-B02, AATCC 16 และ JIS L 0843
  • การเตรียมชิ้นตัวอย่าง: ตัวอย่างผ้าจะถูกตัดเป็นขนาดที่เหมาะสม โดยปกติคือ 10 ซม. x 10 ซม. และปรับสภาพในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมเพื่อให้ความชื้นคงที่
  • การทดสอบโดนแสง: ตัวอย่างถูกเปิดรับแสง โดยปกติจะใช้หลอดไฟซีนอนอาร์คในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปกติคือ 40-50 ชั่วโมง และที่ความเข้มและอุณหภูมิเฉพาะ ตามมาตรฐานการทดสอบที่เลือก
  • การประเมินการเปลี่ยนสี: การเปลี่ยนแปลงสีของตัวอย่างได้รับการประเมินโดยใช้โทนสีเทา คัลเลอริมิเตอร์ หรือสเปกโตรโฟโตมิเตอร์ ระดับการเปลี่ยนสีเทียบกับระบบการให้คะแนนที่ระบุในมาตรฐานการทดสอบ
  • สรุปผล: ผลลัพธ์จะถูกรายงานเป็นระดับของการเปลี่ยนสีและคะแนนความคงทนต่อแสงตามมาตรฐานการทดสอบที่ใช้

Colorfastness to Washing

ความคงทนของสีต่อการซัก คือความสามารถของผ้าสีในการรักษาสีเดิมและต้านทานการซีดจางหรือการเปลี่ยนสีหลังการซัก กระบวนการซักอาจทำให้สีย้อมและเม็ดสีเสื่อมสภาพและจางลง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสีและรูปลักษณ์ เพื่อให้แน่ใจว่าผ้าสีจะคงความคงทนของสีไว้ ผู้ผลิตจึงใช้มาตรฐานต่างๆ เพื่อทดสอบความคงทนของสีของผ้าต่อการซัก

ขั้นตอนการทดสอบความคงทนของสี ต่อการซัก

  • เลือกมาตรฐานการทดสอบที่เหมาะสม: มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบความคงทนของสีต่อการซัก ตัวอย่างเช่น ISO 105-C06, AATCC 61
  • การเตรียมตัวอย่าง: ตัวอย่างผ้าจะถูกตัดเป็นขนาดที่เหมาะสม โดยปกติคือ 10 ซม. x 10 ซม. และปรับสภาพในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมเพื่อให้ความชื้นคงที่
  • การล้าง: ตัวอย่างจะถูกล้างโดยใช้เครื่องซักผ้ามาตรฐาน ผงซักฟอก และอุณหภูมิและรอบที่กำหนด ตามที่กำหนดโดยมาตรฐานการทดสอบที่เลือก จำนวนรอบการล้างอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมาตรฐาน
  • การประเมินการเปลี่ยนสี: การเปลี่ยนแปลงสีของตัวอย่างได้รับการประเมินโดยใช้สเกลสีเทาหรือคัลเลอริมิเตอร์ ระดับการเปลี่ยนสีเทียบกับระบบการให้คะแนนที่ระบุในมาตรฐานการทดสอบ
  • สรุปผล: ผลลัพธ์จะถูกรายงานเป็นระดับของการเปลี่ยนสีและคะแนนความคงทนของสีตามมาตรฐานการทดสอบที่ใช้

Colorfastness to Rubbing

ความคงทนของสีต่อการถู คือความสามารถของผ้าสีในการต้านทานการถ่ายโอนสีหรือการย้อมสีเมื่อถูกเสียดสีหรือเสียดสี การทดสอบประเภทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเครื่องแต่งกาย เบาะ และผ้าอื่นๆ ที่อาจเกิดการเสียดสีหรือเสียดสีระหว่างการใช้งาน เพื่อให้แน่ใจว่าผ้าสีจะคงความคงทนของสีต่อการเสียดสี ผู้ผลิตจึงใช้มาตรฐานต่างๆ เพื่อทดสอบความคงทนของสีของผ้า

ขั้นตอนการทดสอบความคงทนของสี ต่อการขัดถู:

  • เลือกมาตรฐานการทดสอบที่เหมาะสม: มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบความคงทนของสีต่อการถู ตัวอย่างเช่น ISO 105-X12, AATCC 8 และ ASTM D 4157
  • การเตรียมตัวอย่าง: ตัวอย่างผ้าจะถูกตัดเป็นขนาดที่เหมาะสม โดยปกติคือ 5 ซม. x 5 ซม. และปรับสภาพในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมเพื่อให้ความชื้นคงที่
  • ทดสอบการขัดถู: ตัวอย่างถูกขัดถูกับผ้าถูมาตรฐานโดยใช้แรงกดและจำนวนถูที่ระบุ ตามที่กำหนดโดยมาตรฐานการทดสอบที่เลือก
  • การประเมินการเปลี่ยนสี: การเปลี่ยนแปลงสีของตัวอย่างและผ้าถูจะได้รับการประเมินโดยใช้ระดับสีเทาหรือคัลเลอริมิเตอร์ ระดับการเปลี่ยนสีเทียบกับระบบการให้คะแนนที่ระบุในมาตรฐานการทดสอบ
  • สรุปผล: ผลลัพธ์จะถูกรายงานเป็นระดับของการเปลี่ยนสีและคะแนนความคงทนของสีตามมาตรฐานการทดสอบที่ใช้

Colorfastness to Perspiration

ความคงทนของสีต่อเหงื่อเป็นการวัดความสามารถของสิ่งทอสีในการรักษาสีเมื่อสัมผัสกับเหงื่อของมนุษย์ เหงื่อประกอบด้วยสารประกอบต่างๆ ที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนสีหรือซีดจางของสิ่งทอที่มีสีได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทดสอบความคงทนของสีต่อเหงื่อของสิ่งทอ เพื่อให้มั่นใจว่าสีและคุณภาพยังคงเดิมแม้ใช้งานเป็นเวลานานหรือสัมผัสกับเหงื่อ

ขั้นตอนการทดสอบความคงทนของสีต่อเหงื่อ:

  • เลือกมาตรฐานการทดสอบที่เหมาะสม: มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบความคงทนของสีต่อเหงื่อ ตัวอย่างเช่น ISO 105-E04, AATCC 15, JIS L 0848, BS EN ISO 105-E04 และ ASTM D 3725
  • การเตรียมตัวอย่าง: ตัดตัวอย่างสิ่งทอสีจำนวนเล็กน้อยและเตรียมสำหรับการทดสอบ ตัวอย่างควรเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
  • การเตรียมเหงื่อเทียม: เตรียมสารละลายเหงื่อเทียมโดยใช้สูตรมาตรฐานที่จำลองส่วนประกอบของเหงื่อของมนุษย์ โดยทั่วไปแล้วสารละลายจะประกอบด้วยสารเคมีต่างๆ เช่น โซเดียมคลอไรด์ กรดแลคติค ยูเรีย และส่วนประกอบอื่นๆ
  • การแช่ตัวอย่าง: แช่ตัวอย่างผ้าสีในสารละลายเหงื่อเทียมตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจมีตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน อุณหภูมิและความชื้นของสภาพแวดล้อมการทดสอบได้รับการควบคุมเพื่อจำลองสภาวะที่เหมือนจริง
  • การประเมินความคงทนของสี: หลังจากผ่านระยะเวลาที่กำหนด ตัวอย่างจะถูกล้างด้วยน้ำ และประเมินการเปลี่ยนแปลงของสีหรือรูปลักษณ์ การประเมินสามารถทำได้โดยใช้การประเมินด้วยสายตา สเปกโตรโฟโตมิเตอร์ หรือคัลเลอริมิเตอร์ ระบบการให้คะแนนสำหรับความคงทนของสีต่อเหงื่อโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับสเกล 1 ถึง 5 โดย 5 คือระดับความคงทนของสีสูงสุด
  • สรุปผล: ผลลัพธ์ของการทดสอบความคงทนของสีต่อเหงื่อจะถูกรายงานเป็นคะแนนในระดับ 1 ถึง 5 ผลลัพธ์สามารถใช้เพื่อกำหนดคุณภาพและความทนทานของสิ่งทอที่มีสี

Colorfastness to Water

ความคงทนของสีต่อน้ำเป็นการวัดว่าวัสดุสิ่งทอสามารถต้านทานการซีดจางหรือรอยเปื้อนได้ดีเพียงใดเมื่อสัมผัสกับน้ำหรือความชื้น

ขั้นตอนการทดสอบความคงทนของสีต่อน้ำ

  • เลือกมาตรฐานการทดสอบที่เหมาะสม: มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบความคงทนของสีต่อน้ำ ตัวอย่างเช่น ISO 105-E01, AATCC 107, JIS L 0846 และ ASTM D 2244
  • การเตรียมตัวอย่าง: ตัดตัวอย่างสิ่งทอสีจำนวนเล็กน้อยและเตรียมสำหรับการทดสอบ ตัวอย่างควรเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
  • การแช่น้ำ: ตัวอย่างถูกแช่ในน้ำกลั่น หรือน้ำปราศจากไอออนที่อุณหภูมิที่ระบุในช่วงเวลาหนึ่ง อุณหภูมิและระยะเวลาของการแช่อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมาตรฐานการทดสอบหรือวิธีการที่ปฏิบัติตาม
  • การประเมินความคงทนของสี: หลังจากแช่น้ำตามระยะเวลาที่กำหนด ตัวอย่างจะถูกนำออกและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสีหรือรูปลักษณ์ การประเมินสามารถทำได้โดยใช้การประเมินด้วยสายตา สเปกโตรโฟโตมิเตอร์ หรือคัลเลอริมิเตอร์ ระบบการให้คะแนนสำหรับความคงทนของสีต่อน้ำโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับสเกล 1 ถึง 5 โดยที่ 5 คือระดับความคงทนของสีสูงสุด
  • สรุปผล: ผลลัพธ์ของการทดสอบความคงทนของสีต่อน้ำจะถูกรายงานเป็นคะแนนในระดับ 1 ถึง 5 ผลลัพธ์สามารถใช้เพื่อกำหนดคุณภาพและความทนทานของสิ่งทอที่มีสี

Colorfastness to Dry Cleaning

การทดสอบความคงทนของสีต่อการซักแห้งเป็นการวัดว่าวัสดุสิ่งทอสามารถต้านทานการซีดจางหรือรอยเปื้อนได้ดีเพียงใดเมื่อผ่านขั้นตอนการซักแห้ง การซักแห้งเป็นกระบวนการที่ใช้ตัวทำละลาย เช่น เปอร์คลอโรเอทิลีนหรือปิโตรเลียม เพื่อทำความสะอาดวัสดุสิ่งทอ

ขั้นตอนการทดสอบความคงทนของสีต่อ การซักแห้ง

  • ลือกมาตรฐานการทดสอบที่เหมาะสม: มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบความคงทนของสีต่อน้ำ ตัวอย่างเช่น ISO 105-D01, AATCC 132, JIS L 0852 และ ASTM D 3273
  • การเตรียมตัวอย่าง: ตัดตัวอย่างสิ่งทอสีจำนวนเล็กน้อยและเตรียมสำหรับการทดสอบ ตัวอย่างควรเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
  • การซักแห้ง: ตัวอย่างต้องผ่านขั้นตอนการซักแห้งที่ระบุโดยใช้ตัวทำละลาย อุณหภูมิ และระยะเวลาที่ระบุ ขั้นตอนการซักแห้งอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมาตรฐานการทดสอบหรือวิธีการที่ปฏิบัติตาม
  • การประเมินความคงทนของสี: หลังจากขั้นตอนการซักแห้ง ตัวอย่างจะได้รับการประเมินว่ามีการเปลี่ยนแปลงสีหรือรูปลักษณ์หรือไม่ การประเมินสามารถทำได้โดยใช้การประเมินด้วยสายตา สเปกโตรโฟโตมิเตอร์ หรือคัลเลอริมิเตอร์ ระบบการให้คะแนนสำหรับความคงทนของสีต่อการซักแห้งโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับสเกล 1 ถึง 5 โดย 5 คือระดับความคงทนของสีสูงสุด
  • สรุปผล: ผลลัพธ์ของการทดสอบความคงทนของสีต่อการซักแห้งจะรายงานเป็นคะแนนในระดับ 1 ถึง 5 ผลลัพธ์สามารถใช้เพื่อกำหนดคุณภาพและความทนทานของสิ่งทอสี

มาตรฐานกันไฟลาม หรือ หน่วงไฟ มีอะไรบ้างนะ?

Flame retardant มาตรฐานต่างๆ เหล่านี้ได้ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยจากอัคคีภัย ที่ใช้กับวัสดุและผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ ที่ใช้ในอาคาร สิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของอาคาร ผู้ออกแบบ และผู้ผลิตจะต้องตระหนักถึงมาตรฐานเหล่านี้ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของตนเป็นไปตามข้อกำหนดที่จำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงจากอัคคีภัยและปกป้องความปลอดภัยสาธารณะ เช่น

  • British Standard: BS 5852, BS 5651
  • California, USA Standard: CA TB 117
  • Chinese Standard: GB 8624
  • European Standard: BS EN 1021
  • International Standard: NFPA 260, NFPA 701

BRITISH STANDARD

BS 5852

BS 5852 เป็นมาตรฐานของอังกฤษที่ระบุวิธีการทดสอบและข้อกำหนดสำหรับการติดไฟของเฟอร์นิเจอร์บุนวม รวมถึงโซฟา เก้าอี้ และที่นอน มาตรฐานนี้มีไว้เพื่อให้แน่ใจว่าเฟอร์นิเจอร์หุ้มเบาะที่ขายในสหราชอาณาจักรเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยจากอัคคีภัยขั้นต่ำ และมีโอกาสน้อยที่จะติดไฟหรือมีส่วนทำให้ไฟลุกลามในกรณีเกิดไฟไหม้

BS 5852 มีวิธีการทดสอบหลักสองวิธี: การทดสอบบุหรี่และการทดสอบการจับคู่ การทดสอบการจุดไฟเกี่ยวข้องกับการสัมผัสผ้าหุ้มเบาะกับบุหรี่ที่กำลังลุกไหม้ ในขณะที่การทดสอบการขีดข่วนเป็นการให้ผ้าหุ้มเบาะสัมผัสกับไม้ขีดไฟที่กำลังไหม้ ผลการทดสอบใช้เพื่อจำแนกเฟอร์นิเจอร์ออกเป็นประเภทต่างๆ ตามความสามารถในการติดไฟ

BS 5651

BS 5651 เป็นมาตรฐานของอังกฤษที่ระบุวิธีการทดสอบและข้อกำหนดสำหรับการติดไฟของผ้าสิ่งทอ มาตรฐานประกอบด้วยหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนกล่าวถึงวัสดุสิ่งทอหรือการใช้งานเฉพาะประเภท

  • Part 1: (BS 5651-1) ของมาตรฐานระบุวิธีการทดสอบทั่วไปสำหรับผ้าสิ่งทอทุกประเภท โดยใช้เปลวไฟขนาดเล็กหรือแหล่งกำเนิดประกายไฟเป็นวิธีทดสอบ การทดสอบนี้ประเมินความสามารถในการติดไฟ การแพร่กระจายของเปลวไฟ และลักษณะการเผาไหม้ของผ้าเมื่อสัมผัสกับเปลวไฟขนาดเล็ก
  • Part 2 (BS 5651-2) ของมาตรฐานระบุวิธีการทดสอบเพิ่มเติมและข้อกำหนดสำหรับผ้าที่ใช้ทำผ้าม่านและผ้าม่าน ผ้าเหล่านี้ได้รับการทดสอบโดยใช้วิธีการเฉพาะเพื่อประเมินประสิทธิภาพเมื่อสัมผัสกับแหล่งกำเนิดไฟต่างๆ เช่น บุหรี่ ไม้ขีดไฟ และเปลวไฟขนาดเล็ก
  • Part 3 (BS 5651-3) ของมาตรฐานระบุวิธีการทดสอบและข้อกำหนดสำหรับการติดไฟของผ้าตกแต่งที่ใช้ในอาคารสาธารณะ เช่น โรงแรม โรงละคร และโรงพยาบาล ผ้าเหล่านี้ได้รับการทดสอบโดยใช้วิธีการเฉพาะเพื่อประเมินประสิทธิภาพเมื่อสัมผัสกับแหล่งกำเนิดไฟต่างๆ เช่น บุหรี่ ไม้ขีดไฟ และเปลวไฟขนาดเล็ก
  • Part 4 (BS 5651-4) ของมาตรฐานระบุวิธีการทดสอบและข้อกำหนดสำหรับการติดไฟของผ้าที่ฟ้องที่นอน ผ้าเหล่านี้ได้รับการทดสอบโดยใช้วิธีการเฉพาะเพื่อประเมินประสิทธิภาพเมื่อสัมผัสกับแหล่งกำเนิดไฟต่างๆ เช่น บุหรี่ ไม้ขีดไฟ และเปลวไฟขนาดเล็ก

โดยสรุป BS 5651 เป็นมาตรฐานของอังกฤษที่ระบุวิธีการทดสอบและข้อกำหนดสำหรับการติดไฟของผ้าสิ่งทอ โดยมีชิ้นส่วนเฉพาะที่ระบุถึงวัสดุและการใช้งานประเภทต่างๆ

ความแตกต่างระหว่าง BS 5852 และ BS 5651

BS 5852: มาตรฐานนี้ใช้เพื่อประเมินความสามารถในการติดไฟของที่นั่งหุ้มเบาะโดยแหล่งกำเนิดประกายไฟที่คุกรุ่นและลุกเป็นไฟ การทดสอบเกี่ยวข้องกับการนำเบาะไปสัมผัสกับแหล่งกำเนิดการจุดไฟต่างๆ รวมถึงบุหรี่ที่คุกรุ่นและเปลวไฟก๊าซขนาดเล็ก และการวัดอัตราและขอบเขตของการแพร่กระจายของไฟ BS 5852 มีไว้สำหรับที่นั่งที่ใช้ในอาคารสาธารณะ สำนักงาน และสภาพแวดล้อมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภายในบ้าน

BS 5651: มาตรฐานนี้ใช้เพื่อประเมินความสามารถในการติดไฟของเฟอร์นิเจอร์บุนวมจากแหล่งจุดไฟต่างๆ รวมถึงบุหรี่ที่คุกรุ่นและเปลวไฟ การทดสอบเกี่ยวข้องกับการนำวัสดุหุ้มเบาะไปสัมผัสกับแหล่งกำเนิดประกายไฟต่างๆ และการวัดอัตราและขอบเขตของการแพร่กระจายของไฟ BS 5651 มีไว้สำหรับเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งที่ใช้ในสภาพแวดล้อมในประเทศและนอกประเทศ

โดยสรุป BS 5852 และ BS 5651 วัดความสามารถในการติดไฟของเฟอร์นิเจอร์บุนวม แต่ต่างกันที่วิธีการทดสอบและประเภทของเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ BS 5852 มุ่งเน้นไปที่ที่นั่งบุนวมและใช้แหล่งกำเนิดการการติดไฟเฉพาะ ในขณะที่ BS 5651 ครอบคลุมเฟอร์นิเจอร์บุนวมที่หลากหลายกว่าและใช้แหล่งกำเนิดการการติดไฟที่หลากหลาย


EUROPEAN STANDARD

BS EN 1021

BS EN 1021 เป็นมาตรฐานยุโรปที่ระบุวิธีการทดสอบเพื่อประเมินการทนไฟของวัสดุที่ใช้ในเฟอร์นิเจอร์บุนวม การประเมินความสามารถในการทนไฟของวัสดุที่ใช้ในเฟอร์นิเจอร์บุนวมเมื่อสัมผัสกับบุหรี่ที่กำลังติดไฟ หรือเปลวไฟจากไม้ขีดไฟ มาตรฐานระบุขั้นตอนการทดสอบเพื่อประเมินความสามารถในการติดไฟของวัสดุเฟอร์นิเจอร์ เช่น โฟม สิ่งทอ และวัสดุอุด และจัดเตรียมระบบการจำแนกสำหรับผลลัพธ์ และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดไฟไหม้ในเฟอร์นิเจอร์บุนวมโดยตรวจสอบให้แน่ใจว่าวัสดุที่ใช้ในเฟอร์นิเจอร์เป็นไปตามมาตรฐานการทนไฟ การปฏิบัติตามมาตรฐานนี้อาจกำหนดโดยหน่วยงานดูแลอาคารในยุโรป

  • Past 1: (BS EN 1021-1) การประเมินความสามารถในการติดไฟของเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง กับบุหรี่ที่กำลังติดไฟ
  • Past 2: (BS EN 1021-2) การประเมินความสามารถในการติดไฟของเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง กับแหล่งกำเนิดเปลวไฟขนาดเล็กเท่ากับไม้ขีดไฟโดยตรง โดยผลของการทดสอบทั้งสองจะใช้เพื่อจำแนกวัสดุว่าผ่านมาตรฐานหรือไม่

CALIFORNIA, USA STANDARD

CA TB 117

CA TB 117 เป็นมาตรฐานการติดไฟในแคลิฟอร์เนียที่ใช้กับเฟอร์นิเจอร์บุนวม ก่อตั้งขึ้นในปี 1975 และได้รับการพัฒนาปรับปรุงตลอดมา มาตรฐานกำหนดให้เฟอร์นิเจอร์บุนวมที่ขายในแคลิฟอร์เนียต้องผ่านการทดสอบการติดไฟเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ติดไฟได้ง่าย และเปลวไฟที่เกิดขึ้นจะไม่ลุกลามเร็วเกินไป

CA TB 117 เวอร์ชันดั้งเดิมกำหนดให้เฟอร์นิเจอร์สามารถทนต่อการทดสอบเปลวไฟแบบเปิดเป็นเวลา 12 วินาที และปรับปรุงเวอร์ชั่นในปี 2013 ให้ที่คำนึงถึงสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

TB 117-2013 กำหนดให้เฟอร์นิเจอร์หุ้มเบาะต้องผ่านการทดสอบการรมควันมากกว่าการทดสอบเปลวไฟ การทดสอบนี้ได้รับการออกแบบให้มีความสมจริงมากขึ้นและสะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่าไฟส่วนใหญ่เริ่มด้วยควันและความร้อนมากกว่าเปลวไฟโดยตรง

CA TB 117 เป็นมาตรฐานสำคัญในการปกป้องความปลอดภัยสาธารณะ สำหรับอาคารพาณิชย์ และพื้นที่มีคนรวมรวมกันจำนวนมากๆ เช่น โรงแรม อาคารชุดเป็นต้น


INTERNATIONAL STANDARD

NFPA 701

NFPA 701 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยจากอัคคีภัยที่กำหนดขึ้นโดย National Fire Protection Association (NFPA) ในสหรัฐอเมริกา ใช้เฉพาะกับผ้าม่าน ผ้าม่าน และการรักษาหน้าต่างอื่นๆ ที่ใช้ในอาคารสาธารณะ และอาคารพาณิชย์ มาตรฐานกำหนดข้อกำหนดสำหรับการติดไฟของวัสดุเหล่านี้และมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้ และจำกัดการแพร่กระจายของเปลวไฟและควัน

การทดสอบ NFPA 701 เกี่ยวข้องกับการนำวัสดุไปสัมผัสกับเปลวไฟตามระยะเวลาที่กำหนด และสังเกตว่าวัสดุมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเปลวไฟ การทดสอบวัดปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราการแพร่กระจายของเปลวไฟ ปริมาณควันที่เกิดขึ้น และดูว่าเศษที่ติดไฟตกจากวัสดุหรือไม่

วัสดุที่ผ่านการทดสอบ NFPA 701 ถือว่ามีคุณสมบัติทนไฟที่ยอมรับได้ และสามารถใช้ได้ในอาคารสาธารณะและอาคารพาณิชย์ การทดสอบ NFPA 701 ใช้ไม่ได้กับ วัสดุและผ้าทุกประเภท และวัสดุบางชนิดอาจต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าสอดคล้องกับกฎความปลอดภัยจากอัคคีภัย

นอกจาก NFPA 701 แล้ว ยังมีมาตรฐานความปลอดภัยจากอัคคีภัยอื่น ๆ ที่ใช้กับวัสดุและผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ในอาคาร สิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของอาคาร ผู้ออกแบบ และผู้ผลิตจะต้องตระหนักถึงมาตรฐานเหล่านี้ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของตนเป็นไปตามข้อกำหนดที่จำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงจากอัคคีภัยและปกป้องความปลอดภัยสาธารณะ

NFPA 260

NFPA 260 เป็นมาตรฐานที่พัฒนาโดย National Fire Protection Association (NFPA) ซึ่งกำหนดข้อกำหนดด้านความปลอดภัยจากอัคคีภัยสำหรับเฟอร์นิเจอร์บุนวม มันมีชื่อว่า “วิธีมาตรฐานของการทดสอบและระบบการจำแนกประเภทสำหรับการต้านทานการติดไฟของบุหรี่ของส่วนประกอบของเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง”

วัตถุประสงค์ของ NFPA 260 คือเพื่อให้มีวิธีทดสอบและจำแนกความต้านทานของวัสดุหุ้มเบาะต่อการติดไฟของบุหรี่ มาตรฐานนี้รวมถึงการทดสอบเพื่อหาค่าการต้านทานการติดไฟของวัสดุที่ใช้ในเฟอร์นิเจอร์บุนวม เช่น ผ้า โฟม

การทดสอบที่ระบุใน NFPA 260 จำลองผลกระทบของบุหรี่ที่จุดแล้วตกลงบนวัสดุเฟอร์นิเจอร์ มาตรฐานระบุขั้นตอนการดำเนินการทดสอบเหล่านี้และจัดเตรียมระบบการจำแนกสำหรับผลลัพธ์ วัสดุที่ผ่านการทดสอบจัดอยู่ในประเภทที่ 1 ในขณะที่วัสดุที่ไม่ผ่านการจัดประเภทเป็นประเภทที่ 2

NFPA 260 มีความสำคัญเนื่องจากช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดไฟไหม้ในเฟอร์นิเจอร์บุนวม เฟอร์นิเจอร์บุนวมเป็นแหล่งกำเนิดไฟทั่วไปในบ้านและอาคารอื่นๆ และวัสดุที่ตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐานนี้มีโอกาสน้อยที่จะทำให้เกิดไฟไหม้ การปฏิบัติตาม NFPA 260 อาจกำหนดโดยรหัสอาคาร บริษัทประกันภัย และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ

ความแตกต่างระหว่าง NFPA 701 และ NFPA 260

NFPA 701: วิธีมาตรฐานในการทดสอบไฟสำหรับการแพร่กระจายเปลวไฟของสิ่งทอและฟิล์ม
มาตรฐานนี้ใช้เพื่อวัดความสามารถในการติดไฟของสิ่งทอและฟิล์มเมื่อสัมผัสกับเปลวไฟ การทดสอบเกี่ยวข้องกับการให้ชิ้นงานในแนวตั้งสัมผัสกับเปลวไฟขนาดเล็กเป็นเวลา 12 วินาที และวัดอัตราการแพร่กระจายของเปลวไฟและเวลาหลังเกิดเปลวไฟ NFPA 701 มีไว้สำหรับวัสดุที่ใช้ในผ้าม่าน ผ้าม่าน และงานตกแต่งอื่นๆ

NFPA 260: วิธีมาตรฐานของการทดสอบและระบบการจำแนกประเภทสำหรับการต้านทานการติดไฟของบุหรี่ของส่วนประกอบของเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง
มาตรฐานนี้ใช้เพื่อวัดความต้านทานการติดไฟจากบุหรี่ของส่วนประกอบของเฟอร์นิเจอร์ เช่น ฟองน้ำ เบาะ ผ้าหุ้มเบาะ และแผงกั้น การทดสอบเกี่ยวข้องกับการให้ชิ้นงานทดสอบในแนวตั้งสัมผัสกับบุหรี่ที่จุดไฟเป็นเวลา 5 นาที และวัดเวลาในการติดไฟ และระยะเวลาการเผาไหม้ NFPA 260 มีไว้สำหรับส่วนประกอบเฟอร์นิเจอร์บุนวมและผ้าหุ้มเบาะ

โดยสรุป NFPA 701 วัดการแพร่กระจายเปลวไฟของสิ่งทอและฟิล์ม ในขณะที่ NFPA 260 วัดความต้านทานการติดไฟจากบุหรี่ของส่วนประกอบเฟอร์นิเจอร์บุนวม เป็นวิธีการทดสอบเฉพาะที่ใช้ทดสอบเรื่องการติดไฟ ลามไฟเหมือนกันแต่แตกต่างกันของวัสดุที่นำนำมาทดสอบนั้นแตกต่างกันระหว่างสองมาตรฐานนี้


JAPANESE INDUSTRIAL STANDARD

JIS L 1091

JIS L 1091 Testing Methods for Flammability of Textiles

ทดสอบการเผาไหม้ของวัสดุก่อสร้าง ส่วนประกอบ และโครงสร้าง รวมถึงสิ่งทอ เวลาในการติดไฟ อัตราการแพร่กระจายของเปลวไฟ และคุณลักษณะอื่นๆ และประสิทธิภาพทนไฟ

ทดสอบการเผาไหม้ของผลิตภัณฑ์สิ่งทอเมื่อสัมผัสกับเปลวไฟขนาดเล็ก การเริ่มติดไฟ อัตราการแพร่กระจายของเปลวไฟ และเวลาหลังเกิดเปลวไฟ


CHINESE STANDARD

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า GB 0000 คือชื่อมาตรฐานของประเทศจีน ซึ่งเป็นชื่อย่อของการเรียนเสียงของคำภาษาจีน ส่วน GB/T 0000 คือวิธีการทดสอบตามมาตรฐานต่างๆ

GB 8624-2012: Classification for burning behavior of building materials

โดยตัวมาตรฐาน GB 8624 นี้ มีหลายตัวด้วยกันเช่น non-flooring products, flooring products, curtain, textile for furniture, Furniture ที่เกี่ยวกับสินค้าผ้าเพื่อการตกแต่งที่อยู่อาศัยก็จะเป็น GB8624 to curtain, textile for furniture ที่ใช้ทดสอบผ้าม่าน และผ้าบุเฟอร์นิเจอร์เฉพาะ โดยการทดสอบเป็นระดับ Class B1 และระดับ Class B2 โดยจะทดสอบดังนี้

GB/T 5454 Oxygen Index วิธีทดสอบเพื่อกำหนดความเข้มข้นของออกซิเจนขั้นต่ำ (หรือที่เรียกว่าการจำกัดดัชนีออกซิเจน) ที่จำเป็นในการรักษาการเผาไหม้ของชิ้นงานทดสอบในการไหลผสมของออกซิเจนและไนโตรเจนเมื่อชิ้นงานอยู่ในแนวตั้ง มาตรฐานนี้ใช้กับการกำหนดพฤติกรรมการเผาไหม้ของสิ่งทอประเภทต่างๆ (รวมถึงส่วนประกอบเดียวหรือหลายองค์ประกอบ) เช่น ผ้าทอ ผ้าถัก ผ้าไม่ทอ ผ้าเคลือบ ผ้าลามิเนต ผ้าคอมโพสิต พรม

GB/T 5455 Vertical burning มาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบการเสพไหม้ของวัสดุ เน้นการทดสอบการเผาไหม้ของวัสดุโดยการตรวจสอบการไหม้ขึ้นต้นที่ปลายบนของตัวอย่างวัสดุในแนวตั้ง การทดสอบนี้ช่วยในการประเมินความปลอดภัยของวัสดุและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในกรณีที่มีการสัมผัสกับเปลวไฟหรือสภาวะที่มีความร้อนสูงได้ การวัดนี้จะบ่งบอกถึงความต้านทานของวัสดุต่อการเผาไหม้เมื่อได้รับการทดสอบในเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในมาตรฐาน

GB 8624

GB 8624 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยจากอัคคีภัยที่กำหนดโดยรัฐบาลจีน กำหนดข้อกำหนดสำหรับประสิทธิภาพการดับเพลิงของวัสดุก่อสร้างที่ใช้ในการก่อสร้าง รวมถึงผนัง เพดาน พื้น และวัสดุฉนวน มาตรฐานจำแนกวัสดุออกเป็นประเภทต่างๆ ตามระดับความสามารถในการติดไฟและการผลิตควัน

GB 8624 ใช้ชุดการทดสอบเพื่อประเมินประสิทธิภาพการยิงของวัสดุ การทดสอบเหล่านี้จะวัดปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราการปลดปล่อยความร้อน การผลิตควัน และดูว่าวัสดุนั้นติดไฟหรือยังคงเผาไหม้ต่อไปหรือไม่หลังจากที่นำเปลวไฟออกไปแล้ว จากผลการทดสอบเหล่านี้ วัสดุจะถูกจำแนกออกเป็นระดับต่างๆ ของประสิทธิภาพการยิง

มาตรฐานวัดระดับเป็น A, B และ C วัสดุที่ได้ระดับ A แปลว่าทนไฟได้มากที่สุด ในขณะที่วัสดุระดับ C มีระดับการทนไฟต่ำที่สุด นอกเหนือจากการจัดประเภทเหล่านี้แล้ว GB 8624 ยังรวมถึงข้อกำหนดสำหรับวัสดุที่ใช้ในประตูกันไฟ ม่านกันไฟ และส่วนประกอบอื่นๆ ของอาคารที่ทนไฟ มาตรฐานการทนไฟ หรือหน่วงไฟนี้มีความสำคัญสำหรับรับรองความปลอดภัยของอาคาร และปกป้องผู้อยู่อาศัยจากความเสี่ยงจากอัคคีภัย วัสดุก่อสร้างทั้งหมดที่ใช้ในการก่อสร้างในประเทศจีนจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานนี้ และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ผลิต นักออกแบบ และผู้สร้างที่ต้องตระหนักถึงข้อกำหนดเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของตนเป็นไปตามมาตรฐานที่จำเป็นสำหรับความปลอดภัยจากอัคคีภัย